พบผลลัพธ์ทั้งหมด 358 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ: จำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันภัยจากการถูกทำร้ายจากทั้งผู้ตายและบิดา
โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมและฆ่าเด็กชายป.โดยเจตนา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 2 ปีริบของกลางคำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องคืนของกลางแก่เจ้าของ ดังนี้ ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ในส่วนที่เด็กชาย ป. ถูกฆ่า โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาเด็กชายป. เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในฐานะผู้เข้าจัดการแทนเด็กชายป. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2)ต่อมาโจทก์ร่วมตายลง ว.พี่ชายเด็กชายป.ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมหามีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายตามมาตรา 29 ไม่เพราะโจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้จัดการแทนเด็กชายป.ซึ่งเป็นผู้เสียหายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฆ่าเด็กชายป. โจทก์ร่วมมีอาวุธเหล็กแหลมเดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยเดินถอยหลังเมื่อโจทก์ร่วมเข้าไปหาห่างประมาณ 5-6 เมตร จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า1 นัด และยิงลงที่พื้นอีก 1 นัด เด็กชายป. ผู้ตายถือไม้ขนาดเท่าแขนวิ่งเข้าไปจะตีจำเลย เหตุเกิดในเวลากลางคืน ภยันตรายที่ละเมิดต่อกฎหมายใกล้จะเกิดกับจำเลยทั้งสองด้าน ในขณะนั้นจำเลยตัวคนเดียวในเวลาที่คับขันไม่อาจคาดหมายได้ว่าภยันตรายจะเกิดขึ้นกับตนนั้นมีมากน้อยเพียงใด จำเลยใช้อาวุธปืนที่อยู่ในมือยิงไปทางเด็กชาย ป. ซึ่งเป็นผู้ที่จะทำให้เกิดภยันตรายต่อจำเลยที่ใกล้ชิดที่สุดก่อนเพื่อป้องกันภยันตรายที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีโอกาสเลือกที่จะป้องกันโดยวิธีอื่นได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการใช้กำลังพอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธปืน
ผู้ตายเดินไปที่ข้างรั้วบ้านจำเลย แล้วใช้ปืนลูกซองสั้นยิงไปบริเวณชานบ้านของจำเลย ซึ่งขณะนั้นจำเลยกับภริยากำลังนั่งกินอาหาร กระสุนปืนถูกภริยาจำเลยล้มฟุบลงไป จำเลยคว้ามีดโต้กระโดดจากบ้านลงไปเพื่อฟันผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหนีเข้าไปในบ้านผู้ตายจำเลยวิ่งไล่ตาม แล้วผู้ตายหันหน้ามาทางจำเลย พร้อมกับใช้ปืนยิงสวนมาทันที 1 นัด ไม่ถูกจำเลย จำเลยใช้มีดฟันไป ผู้ตายยกแขนทั้งสองข้างขึ้นรับ แล้วผู้ตายก็ได้หันหลังจะขึ้นบันไดบ้านจำเลยเข้าใจว่าผู้ตายจะขึ้นไปเอากระสุนปืนมายิงจำเลยอีก จึงใช้มีดฟันทางด้านหลังถูกที่ต้นคอและฟันซ้ำถูกบริเวณใบหน้า ผู้ตายจึงล้มลง ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่า ขณะที่จำเลยไล่ฟันผู้ตายนั้นผู้ตายยังถือปืนอยู่ตลอดเวลาและสามารถยิงมายังจำเลยได้ การที่จำเลยใช้มีดฟันผู้ตายไปจนอาวุธปืนจะหลุดไปจากมือของผู้ตายย่อมเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เพราะหากปืนยังอยู่ในมือผู้ตายตราบใด ภยันตรายก็จะมีแก่จำเลยอยู่จนตราบนั้น และเป็นเรื่องที่ผู้ตายตั้งใจมาทำร้ายจำเลย จำเลยมีสิทธิป้องกันตัวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่วมกับผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยกับพวกปรึกษากันก่อนที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหาย เมื่อพวกของจำเลยใช้สุราสาดหน้าผู้ตาย จำเลยก็เข้าทำร้ายผู้ตายทันที เมื่อผู้ตายวิ่งหนี พวกของจำเลยก็ไล่ติดตามไปรุมทำร้ายต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกันพวกของจำเลยก็แบ่งแยกกันทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกันไปด้วย มีลักษณะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อน หลังจากทำร้ายแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกันถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหาย
เหตุวิวาทเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกของจำเลยคนใดพกอาวุธติดตัวมาด้วย ทั้งไม่ปรากฎว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่วิวาทก็เพียงแต่เพราะถูกผู้ตายขว้างแก้วใส่ ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงชกหน้าผู้ตาย 1 ที มิได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เพราะถูกพวกของจำเลยใช้มีดแทงและทำร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด
เหตุวิวาทเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกของจำเลยคนใดพกอาวุธติดตัวมาด้วย ทั้งไม่ปรากฎว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่วิวาทก็เพียงแต่เพราะถูกผู้ตายขว้างแก้วใส่ ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงชกหน้าผู้ตาย 1 ที มิได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เพราะถูกพวกของจำเลยใช้มีดแทงและทำร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การประเมินความผิดฐานอาญา
จำเลยเป็นบุตรเขยของผู้เสียหาย ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันก่อนเกิดเหตุร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยแม้มีดที่จำเลยแทงผู้เสียหายจะยาวถึง 8 นิ้วเศษ และจำเลยแทงผู้เสียหายที่บริเวณชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของผู้ตาย แต่จำเลยก็แทงเพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้แทงซ้ำทั้ง ๆ ที่มีโอกาส เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายมีโลหิตไหล จำเลยก็ใช้มือปิดแผลให้เพราะเกรงว่าโลหิตจะออกมาก แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงแต่มีเจตนาทำร้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ มาตรา 192 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4275/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายเพื่อป้องกันตัว: การแทงในระหว่างการต่อสู้และภาวะถูกทำร้าย ไม่ถือเป็นเจตนาฆ่า
จำเลยได้แทงโจทก์ร่วมในขณะชุลมุนต่อสู้กับโจทก์ร่วม และขณะที่แทง โจทก์ร่วมนั่งคร่อมอยู่บนตัวจำเลยและบีบคอจำเลยอยู่ในภาวะและพฤติการณ์เช่นนั้น จำเลยย่อมไม่มีโอกาสเลือกได้ว่าจะแทงบริเวณไหน ในขณะนั้นใบหน้าของโจทก์ร่วมเป็นตำแหน่งที่จำเลยจะแทงได้ถนัดกว่าบริเวณอื่น แม้บาดแผลดังกล่าวจะเป็นบาดแผลฉกรรจ์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเพราะถูกแทงโดยแรง ก็เนื่องจากจำเลยมีเจตนาจะหยุดยั้งมิให้โจทก์ร่วมบีบ คอจำเลยจนหายใจไม่ออกจำเลยจึงได้แทงส่วนออกไปด้วยความตกใจและกลัวตาย จำเลยแทงโจทก์เพียงครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่จำเลยจะแทงซ้ำอีกก็ย่อมกระทำได้เพราะแม้มีดจะหลุดคา อยู่ที่บาดแผลของโจทก์ร่วม แต่มีดของจำเลยเป็นมีดที่ชาวบ้านเรียกว่าเสือซ่อนเล็บเป็นมีดคู่มี 2 เล่ม เมื่อแทงโจทก์ร่วมแล้วก็ยังเหลือมีดอยู่อีกเล่มหนึ่ง แต่จำเลยก็มิได้ใช้มีดที่เหลือแทงโจทก์ร่วมอีก กลับโยนทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุแล้วผละหนีไป ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมจำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 385/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: กรณีถูกรัดคอและถูกทำร้ายก่อน
พวกผู้เสียหายได้เข้ามาชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ 2 ก่อน เมื่อจำเลยที่ 1 จะเข้าช่วยก็ถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 รัดคอและเอวไว้จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับฝ่ายผู้เสียหายสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกันจำเลยที่ 1 ถูกรัดคอและเอวจนหายใจไม่ออก จึงใช้มีดตัดหญ้าที่ติดตัวมากวัดแกว่งไปเพื่อให้ผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3ปล่อยตน โดยไม่มีโอกาสที่จะทำให้พ้นภยันตรายที่กำลังได้รับอยู่โดยวิธีอื่น แม้มีดจะแทงถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ใต้รักแร้ขวากับหน้าท้อง และถูกผู้เสียหายที่ 3 ที่หน้าท้องก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 1ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้วก็ไม่ได้ทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 เป็นการซ้ำเติมอีก การกระทำของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายพอสมควรแก่เหตุตามพฤติการณ์ที่ประสบอยู่ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2134/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พฤติการณ์แทงด้วยอาวุธอันตรายและการไล่ทำร้ายต่อเนื่องบ่งชี้เจตนาพยายามฆ่า
จำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายบริเวณชายโครงซ้ายผู้เสียหายเอี้ยวตัวหลบจำเลยจึงแทงถูกแขนผู้เสียหาย เหล็กขูดชาฟท์ติดอยู่ที่แขนผู้เสียหาย ตัวเหล็กขูดชาฟท์ยาวประมาณ 6 นิ้ว ด้ามยาวประมาณ 5 นิ้ว บาดแผลที่ผู้เสียหายถูกจำเลยแทงยาว 2.5 เซนติเมตรกว้าง 1 เซนติเมตรลึกถึงอีกด้านหนึ่ง แสดงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายอย่างแรง เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยยังถือไม้ท่อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว วิ่งตามไปจะตีผู้เสียหายอีก แสดงเจตนาของจำเลยว่าหากเหล็กขูดชาฟท์ไม่ติดอยู่ที่แขนผู้เสียหายจำเลยคงจะแทงผู้เสียหายอีกอย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาอาวุธที่จำเลยใช้ ลักษณะการแทง และบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับ ซึ่งหากผู้เสียหายไม่เอี้ยวตัวหลบและวิ่งหนีไปเสียก่อนจำเลยคงทำร้ายผู้เสียหายจนถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5647/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนโดยชอบธรรม: ชุลมุนแย่งมีดและแทงตอบโต้เพื่อหยุดยั้งการทำร้าย
จำเลยอายุ 17 ปี ต้อนฝูงโคไปตามทาง ผู้ตายอายุ 43 ปีรูปร่างใหญ่กว่าจำเลย ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านไปไม่ได้เพราะฝูงโคเดินเกะกะ จึงด่าและหาว่าจำเลยกลั่นแกล้ง ผู้ตายจอดรถจักรยานยนต์แล้วเข้ามาตบหน้าจำเลย 4 ที จำเลยถอยหนี ผู้ตายเข้ามาจะตบซ้ำ จำเลยจึงชักมีดปลายแหลมออกมาและพูดห้ามอย่าเข้ามาแต่ผู้ตายยังเข้ามาเตะจำเลยที่ลำตัว 2 ที กับเข้าแย่งมีดได้แล้วแทงจำเลยที่บริเวณหน้าอกซ้าย 1 ที ถือเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยแย่งมีดจากผู้ตายคืนมาแล้วแทงผู้ตายหลายที แต่มิได้เลือกว่ามีดจะถูกบริเวณใดของร่างกายและแทงไปเพื่อหยุดยั้งการทำร้ายของผู้ตาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5107/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า: การประเมินพฤติการณ์หลังการทำร้ายเพื่อตัดสินความผิด
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยใช้ขวานฟันและเหล็กแหลมแทง แม้ผู้เสียหายจะได้รับบาดแผลที่หน้าผาก อกด้านซ้ายและคอด้านซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย แต่บาดแผลไม่ร้ายแรง ไม่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้ฟันและแทงโดยแรง เมื่อขวานหลุดจากมือกระเด็นไป แล้วผู้เสียหายร้องให้คนช่วยจำเลยทั้งสองก็วิ่งหนีไปทั้ง ๆ ที่ขณะที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายไม่มีผู้ใดจะช่วยได้ จำเลยที่ 1 มีโอกาสวิ่งกลับไปเอาขวานมาฟันและจำเลยที่ 2 มีเวลาที่จะแทงผู้เสียหายให้ถึงตายได้ แต่จำเลยทั้งสองหาได้ทำเช่นนั้นไม่ สาเหตุที่จำเลยทั้งสองกับผู้เสียหายโกรธเคืองกันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5107/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย ไม่ใช่เจตนาฆ่า: ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์และบาดแผลของผู้เสียหายเพื่อตัดสินความผิด
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยใช้ขวานฟันและเหล็กแหลมแทง แม้ผู้เสียหายจะได้รับบาดแผลที่หน้าผาก อกด้านซ้ายและคอด้านซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย แต่บาดแผลไม่ร้ายแรงไม่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้ฟันและแทงโดยแรง เมื่อขวานหลุดจากมือกระเด็นไป แล้วผู้เสียหายร้องให้คนช่วยจำเลยทั้งสองก็วิ่งหนีไปทั้ง ๆ ที่ขณะที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายไม่มีผู้ใดจะช่วยได้ จำเลยที่ 1 มีโอกาสวิ่งกลับไปเอาขวานมาฟันและจำเลยที่ 2 มีเวลาที่จะแทงผู้เสียหายให้ถึงตายได้ แต่จำเลยทั้งสองหาได้ทำเช่นนั้นไม่ สาเหตุที่จำเลยทั้งสองกับผู้เสียหายโกรธเคืองกันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น