พบผลลัพธ์ทั้งหมด 80 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2123/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหลังตกลงแบ่งเช่าที่ดินกับผู้อื่น และยินยอมให้คู่กรณีทำประโยชน์ในที่ดินนั้น
สองฝ่ายตกลงกันเองว่าฝ่ายใดจะเช่าที่ดินแปลงไหนจากการรถไฟ เจ้าหน้าที่การรถไฟได้อนุมัติและบันทึกการตกลงนั้นไว้แล้ว และต่อมาก็มิได้มีการเพิกถอนข้อตกลงนั้น ดังนี้ฝ่ายหนึ่งจะฟ้องขับไล่อีกฝ่ายหนึ่งที่ได้เข้าไปทำประโยชน์ในที่แปลงที่เขามีสิทธิตามข้อตกลงนั้นไม่ได้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้ให้เช่าและการคุ้มครองสิทธิผู้เช่าที่ทำสัญญาโดยสุจริต
จะเป็นคดีมโนสาเร่หรือไม่ ให้พิจารณาตามฟ้องที่โจทก์ตั้งฟ้องมาแต่ศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ปลูกห้องแถวในที่ดินซึ่งครั้งหนึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ ห้องแถวยังเป็นของจำเลยที่ 1 ตลอดมา ตัวโจทก์เองได้แสดงต่อบุคคลภายนอกให้หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจทำสัญญาในนามของจำเลยที่ 1 ให้บุคคลภายนอกเช่าอยู่ได้ ดังนี้โจทก์จะอ้างการอาศัยของจำเลยที่ 1 ขึ้นบังหน้าขับไล่บุคคลภายนอกไม่ได้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ให้มีผลเฉพาะระหว่างคู่ความชั้นอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 ปลูกห้องแถวในที่ดินซึ่งครั้งหนึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ ห้องแถวยังเป็นของจำเลยที่ 1 ตลอดมา ตัวโจทก์เองได้แสดงต่อบุคคลภายนอกให้หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจทำสัญญาในนามของจำเลยที่ 1 ให้บุคคลภายนอกเช่าอยู่ได้ ดังนี้โจทก์จะอ้างการอาศัยของจำเลยที่ 1 ขึ้นบังหน้าขับไล่บุคคลภายนอกไม่ได้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ให้มีผลเฉพาะระหว่างคู่ความชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการขับไล่ผู้เช่าเมื่อเจ้าของที่ดินยินยอมให้ทำสัญญาเช่าก่อนหน้า
จะเป็นคดีมโนสาเร่หรือไม่ให้พิจารณาตามฟ้องที่โจทก์ตั้งฟ้องมาแต่ศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ปลูกห้องแถวในที่ดินซึ่งครั้งหนึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ ห้องแถวยังเป็นของจำเลยที่ 1 ตลอดมาตัวโจทก์เองได้แสดงต่อบุคคลภายนอกให้หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจทำสัญญาในนามของจำเลยที่ 1 ให้บุคคลภายนอกเช่าอยู่ได้ดังนี้โจทก์จะอ้างการอาศัยของจำเลยที่ 1 ขึ้นบังหน้าขับไล่บุคคลภายนอกไม่ได้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ให้มีผลเฉพาะระหว่างคู่ความชั้นอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 ปลูกห้องแถวในที่ดินซึ่งครั้งหนึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ ห้องแถวยังเป็นของจำเลยที่ 1 ตลอดมาตัวโจทก์เองได้แสดงต่อบุคคลภายนอกให้หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจทำสัญญาในนามของจำเลยที่ 1 ให้บุคคลภายนอกเช่าอยู่ได้ดังนี้โจทก์จะอ้างการอาศัยของจำเลยที่ 1 ขึ้นบังหน้าขับไล่บุคคลภายนอกไม่ได้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ให้มีผลเฉพาะระหว่างคู่ความชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเรือนที่มีผู้เช่าอยู่ และการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
เจ้าของที่ดินและเรือนขายเฉพาะเรือนในที่ดินนั้นแก่ผู้อื่นไปแล้วให้ผู้ซื้อทำสัญญาเช่าที่ดินที่ปลูกเรือนนั้น แต่ปรากฎว่า ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายทราบดีว่า มีผู้เช่าเรือนนั้นอยู่อาศัยมาแต่เดิม ซึ่งได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ และเมื่อซื้อมาแล้ว ผู้ซื้อก็จัดการร้องต่อคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าให้ผู้เช่าออกจากเรือนพิพาทเพื่อเข้าอยู่เอง เมื่อคณะกรรมการไม่อนุญาต เจ้าของที่ดินก็ฟ้องขับไล่ให้ผู้ซื้อรื้อถอนเรือนนั้นไปดังนี้ เป็นพฤติการแสดงให้เห็นว่าเป็นการซื้อขายเพื่อให้ผู้เช่าไม่ได้ใช้หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าอยู่จึงถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและขัดกับ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ เจ้าของที่ดินจึงไม่มีสิทธิจะมาขอให้ศาลบังคับขับไล่ผู้เช่าออกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและการฉ้อโกงทำให้เกิดความเสียหาย การฟ้องขอค่าเสียหายคืนได้ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
เดิมเจ้าของเรือฟ้องเจ้าของอู่ซ่อมเรือให้ส่งมอบเรือที่ซ่อมคืนในสภาพเดิม ซึ่งขณะนั้นปรากฎว่า ไม่มีเครื่องยนต์ในเรือเพราะมีคนถอดเอาไป ศาลจึงพิพากษาให้เจ้าของอู่ซ่อมเรือใช้ค่าเสียหาย แก่เจ้าของเรือ ต่อมาปรากฏว่า คนของเจ้าของเรือเป็นผู้มาถอดเอาเครื่องยนต์ในเรือไปแล้วหาย ต่อมาจับได้ และเจ้าของเรือได้รับเอาเครื่องยนต์คืนจากตำรวจไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนเจ้าของเรือฟ้องเจ้าของอู่เรือ ดังนี้ เจ้าของอู่เรือย่อมมีสิทธิฟ้องเจ้าของเรือ ฐานปิดบังความจริงและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอันเป็นการกล่าวเท็จ เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อและพิพากษาบังคับเจ้าของอู่เรือ ให้ใช้ค่าเสียหายที่ต้องชำระไปดังกล่าวคืนจากเจ้าของเรือได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและการฉ้อโกงทำให้เกิดความเสียหาย สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายคืน
เดิมเจ้าของเรือฟ้องเจ้าของอู่ซ่อมเรือให้ส่งมอบเรือที่ซ่อมคืนในสภาพเดิมซึ่งขณะนั้นปรากฏว่า ไม่มีเครื่องยนต์ในเรือเพราะมีคนถอดเอาไปศาลจึงพิพากษาให้เจ้าของอู่ซ่อมเรือใช้ค่าเสียหาย แก่เจ้าของเรือ ต่อมาปรากฏว่า คนของเจ้าของเรือเป็นผู้มาถอดเอาเครื่องยนต์ในเรือไปแล้วหาย ต่อมาจับได้ และเจ้าของเรือได้รับเอาเครื่องยนต์คืนจากตำรวจไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนเจ้าของเรือฟ้องเจ้าของอู่เรือดังนี้ เจ้าของอู่เรือย่อมมีสิทธิฟ้องเจ้าของเรือ ฐานปิดบังความจริงและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอันเป็นการกล่าวเท็จ เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อและพิพากษาบังคับเจ้าของอู่เรือ ให้ใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของเรือตามฟ้องเจ้าของอู่เรือจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่ต้องชำระไปดังกล่าวคืนจากเจ้าของเรือได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเคหะเช่าเพื่อเลี่ยงสัญญาเช่า เป็นโมฆะและใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
โจทก์ไม่พอใจผู้เช่าเคหะของโจทก์ ได้เพียรพยายามจะให้ออกไปจากห้องเช่าทุกวิถีทางก็ไม่สำเร็จ จึงใช้วิธีขายเฉพาะตัวห้องพิพาทให้จำเลย โดยตกลงกันให้จำเลยรื้อห้องพิพาทไป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่า ผู้เช่าก็ยังเช่าอยู่ เช่นนี้ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและเป็นการตกลงที่ทำให้โจทก์ผู้ให้เช่าหลุดพ้นจากหน้าที่หรือภาระซึ่งมีอยู่ตามสัญญาเช่า คือถ้าต้องรื้อห้องไป หน้าที่หรือภาระที่ห้องจะต้องปลูกอยู่ในที่ดินตรงนั้นก็หลุดพ้นไป คือ โจทก์เอาที่ดินตรงนั้นไปทำประโยชน์อื่นได้ การตกลงเช่นนี้ เป็นการตกลงขัดกับ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ พ.ศ. 2498 มาตรา 11 (3) ข้อตกลงซื้อขายเฉพาะเพื่อให้รื้อถอนไป จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนห้องพิพาทไปมิได้(คดีนี้ ผู้เช่าร้องสอดเข้าเป็นจำเลย)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้ขายร่วมที่ยินยอมให้ผู้ซื้อเชื่อว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน
มารดาผู้เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับบุตร ปล่อยให้บุตรไปประกาศรับมรดกที่ดินนี้แต่ผู้เดียว จนเจ้าพนังกานจดทะเบียนไว้แล้ว มารดาก็ทราบ ต่อมาบุตรตกลงขายที่ดินให้บุคคลอื่น มารดาก็รู้เห็นอยู่ด้วย จนยินยอมเอาเงินที่ได้รับจากผู้ซื้อมาไถ่ถอนการขายฝากที่ดินนี้ แม้ภายหลังจะกลับใจโดยมารดาเอาที่ดินไปประกาศขายแก่คนอื่นเสีย แต่เมื่อบุตรคัดค้านและอำเภอสั่งให้มารดาฟ้อง มารดาก็ไม่ฟ้อง จนต่อมาบุตรได้ประกาศขายให้ผู้ซื้อมารดาก็ไม่คัดค้านอย่างไรอีกจนอำเภอจดทะเบียนทำสัญญาซื้อขายให้กันเสร็จไปแล้ว ดังนี้ย่อมถือได้ว่า พฤติการณ์และการกระทำของมารดาทำให้ผู้ซื้อเชื่อโดยสุจริตว่ามารดาคงไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ยอมให้บุตรขายได้แล้ว ผู้ซื้อจึงรับซื้อและชำระราคาไป มารดาจะกลับมาฟ้องขอให้ทำลายสัญญาซื้อขายดังกล่าวไม่ได้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้ขายแล้วกลับใจ มารดาใช้สิทธิโดยไม่สุจริต สัญญาซื้อขายสมบูรณ์
มารดาผู้เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับบุตร ปล่อยให้บุตรไปประกาศรับมรดกที่ดินนี้แต่ผู้เดียวจนเจ้าพนักงานจดทะเบียนไว้แล้ว มารดาก็ทราบต่อมาบุตรตกลงขายที่ดินให้บุคคลอื่น มารดาก็รู้เห็นอยู่ด้วย จนยินยอมเอาเงินที่ได้รับจากผู้ซื้อมาไถ่ถอนการขายฝากที่ดินนี้แม้ภายหลังจะกลับใจโดยมารดาเอาที่ดินไปประกาศขายแก่คนอื่นเสีย แต่เมื่อบุตรคัดค้านและอำเภอสั่งให้มารดาฟ้องมารดาก็ไม่ฟ้อง จนต่อมาบุตรได้ประกาศขายให้ผู้ซื้อมารดาก็ไม่คัดค้านอย่างไรอีก จนอำเภอจดทะเบียนทำสัญญาซื้อขายให้กันเสร็จไปแล้วดังนี้ ย่อมถือได้ว่าพฤติการณ์และการกระทำของมารดาทำให้ผู้ซื้อเชื่อโดยสุจริตว่ามารดาคงไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ยอมให้บุตรขายได้แล้ว ผู้ซื้อจึงรับซื้อและชำระราคาไป มารดาจะกลับมาฟ้องขอให้ทำลายสัญญาซื้อขายดังกล่าวไม่ได้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้รับมรดก - เพิกถอนนิติกรรม - การครอบครองปรปักษ์
ภรรยาได้ประกาศรับมฤดกที่ดินของสามีแล้วโอนขายให้บุคคลอื่น แม้จะปรากฎว่าภรรยามิได้จดทะเบียนสมรสก็ดี แต่ได้มีการไหว้ผีตามประเพณี และอยู่ร่วมกันโดยเปิดเผยจนมีบุตรด้วยกัน 3 คน การที่โอนขายให้แก่บุคคลผู้นั้น ก็เนื่องจากสัญญาเดิมที่สามีได้ทำไว้ ซึ่งเป็นการชอบด้วยศีลธรรม เมื่อภรรยามาประกาศรับมฤดก โจทก์ก็ไม่มาคัดค้าน ปล่อยให้ภรรยารับมฤดกมาโอนขายแก่บุคคลผู้นั้น ๆ รับซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรม ดังนี้ ย่อมได้ชื่อว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 5 จะมาขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ได้.