พบผลลัพธ์ทั้งหมด 670 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8660/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จต้องเป็นการกระทำในฐานะพยาน ไม่ใช่คู่ความในกระบวนการพิจารณาคดีปกครอง
องค์ประกอบความผิดฐานเบิกความเท็จ ต้องเป็นการเบิกความเท็จในกระบวนพิจารณาที่กระทำโดยศาลในคดีที่ต้องฟังคำพยานเพื่อวินิจฉัยประเด็นตามอำนาจหน้าที่ และการเบิกความหมายความถึงการกระทำของพยานบุคคล มิได้หมายความถึงคำแถลงหรือคำให้การในฐานะคู่ความหรือของผู้อื่น ที่ไม่ได้กระทำในฐานะพยาน ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 59 การนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้คู่กรณีตรวจสอบความถูกต้องของข้อเท็จจริงที่ตุลาการเจ้าของสำนวนได้สรุปและส่งสรุปข้อเท็จจริงนั้นให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าก่อนการนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้เบิกความแถลงในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ก็เป็นการยืนยันหรือหักล้างเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อเท็จจริงที่ตุลาการเจ้าของสำนวนได้สรุปและส่งให้คู่กรณีทราบล่วงหน้า เป็นการกระทำในฐานะที่เป็นโจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่ง มิได้กระทำในฐานะพยานบุคคล การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกเอกสารหลังสืบพยานและนำมาวินิจฉัยโดยไม่เปิดโอกาสคัดค้าน ถือไม่เป็นธรรมและขัดต่อหลักการพิจารณาคดี
คำสั่งศาลภาษีอากรกลางที่ให้เรียกพยานเอกสารเข้ามาสู่สำนวนความหลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นในคดี ซึ่งจำเลยที่ 2 ขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมไว้แล้ว แต่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตภายหลังศาลภาษีอากรกลางกลับเห็นว่า เอกสารเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงเรียกพยานหลักฐานนั้นเข้ามาสู่สำนวนหลังเสร็จสิ้นการสืบพยานจำเลยที่ 2 ประมาณ 1 เดือน โดยไม่มีการแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความทั้งสองฝ่ายทราบเพื่อที่จะได้มีโอกาสเข้ามาคัดค้าน หรือโต้แย้งความถูกต้องแท้จริงแห่งเอกสารดังกล่าว แม้ต่อมามีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาแต่คู่ความก็มิได้มาศาล ทั้งมิได้มีการแจ้งคำสั่งเกี่ยวกับการเรียกพยานเอกสารดังกล่าวให้คู่ความทราบอีกเช่นกัน การที่ศาลภาษีอากรกลางนำพยานเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยให้โจทก์แพ้คดี จึงไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและไม่ชอบด้วยการพิจารณา เพราะทำให้โจทก์เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา 17 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีคำร้องรับชำระหนี้จากทรัพย์จำนอง ผู้ร้องต้องนำสืบพยานในวันไต่สวน
กรณีที่จะเป็นการขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 200 ต้องเป็นกรณีที่โจทก์หรือจำเลยที่ได้ยื่นคำให้การไว้ไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ซึ่งวันสืบพยานดังกล่าวต้องเป็นวันสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่นและขอเฉลี่ยทรัพย์ ผู้ร้องจึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำร้องในวันนัดไต่สวน ซึ่งมิใช่เป็นการสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงไม่อาจนำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดที่ศาลจะต้องจำหน่ายคดีตามมาตรา 202 มาบังคับใช้ได้ เมื่อผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องโดยไม่มีเหตุอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องไม่นำพยานหลักฐานมาสืบและศาลสั่งยกคำร้อง จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมทหารโมฆะ: ขาดพยานถูกต้อง & ไม่เป็นพินัยกรรมเขียนเองทั้งฉบับ
พลตรี น. ไม่ได้ลงชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมทหารฉบับพิพาท คงมีพันเอก พ. ลงชื่อเป็นพยานเพียงคนเดียวเท่านั้น พินัยกรรมทหารฉบับพิพาทจึงทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามแบบที่ ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705 จำเลยที่ 3 ไม่อาจอาศัยพินัยกรรมทหารฉบับพิพาทมาอ้างอิงแสวงสิทธิใดๆ ได้
พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับเป็นพินัยกรรมซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ผู้ทำพินัยกรรมเขียนข้อความในส่วนสาระสำคัญด้วยลายมือตนเองทั้งหมด มีใจความกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง หรือในเรื่องอื่นที่จะให้เกิดผลบังคับเมื่อตนตายก็ได้ ทั้งนี้ ข้อความที่เขียนด้วยลายมือตนเองต้องมีข้อความที่อ่านแล้วพอเข้าใจได้ว่าผู้ทำพินัยกรรมประสงค์จะให้ทรัพย์มรดกตกได้แก่ใคร แต่พินัยกรรมทหารฉบับพิพาทเป็นแบบพิมพ์พินัยกรรมของทางราชการทหาร ซึ่งพิมพ์ข้อความกำหนดการเผื่อตายของผู้ทำพินัยกรรมไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว คงเว้นช่องว่างไว้ให้ผู้ทำพินัยกรรมกรอกแต่เฉพาะสถานที่และวันเดือนปีที่ทำพินัยกรรมกับชื่อของผู้ทำพินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรมและลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมเท่านั้น หากตัดข้อความที่เป็นตัวพิมพ์ออกเสียให้เหลือแต่เฉพาะข้อความที่พลเอก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเขียนด้วยลายมือตนเองก็ไม่มีความหมายเป็นพินัยกรรม พินัยกรรมทหารฉบับพิพาทจึงไม่เป็นพินัยกรรมแบบผู้ทำพินัยกรรมเขียนเองทั้งฉบับ
บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ที่จำเลยที่ 3 ยกขึ้นอ้างเป็นเรื่องอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกที่ตนมีสิทธิได้รับในฐานะทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม แต่คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมทหารฉบับพิพาทตกเป็นโมฆะ ไม่ใช่การใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ 3 จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติเรื่องอายุความดังกล่าว
พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับเป็นพินัยกรรมซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ผู้ทำพินัยกรรมเขียนข้อความในส่วนสาระสำคัญด้วยลายมือตนเองทั้งหมด มีใจความกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง หรือในเรื่องอื่นที่จะให้เกิดผลบังคับเมื่อตนตายก็ได้ ทั้งนี้ ข้อความที่เขียนด้วยลายมือตนเองต้องมีข้อความที่อ่านแล้วพอเข้าใจได้ว่าผู้ทำพินัยกรรมประสงค์จะให้ทรัพย์มรดกตกได้แก่ใคร แต่พินัยกรรมทหารฉบับพิพาทเป็นแบบพิมพ์พินัยกรรมของทางราชการทหาร ซึ่งพิมพ์ข้อความกำหนดการเผื่อตายของผู้ทำพินัยกรรมไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว คงเว้นช่องว่างไว้ให้ผู้ทำพินัยกรรมกรอกแต่เฉพาะสถานที่และวันเดือนปีที่ทำพินัยกรรมกับชื่อของผู้ทำพินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรมและลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมเท่านั้น หากตัดข้อความที่เป็นตัวพิมพ์ออกเสียให้เหลือแต่เฉพาะข้อความที่พลเอก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเขียนด้วยลายมือตนเองก็ไม่มีความหมายเป็นพินัยกรรม พินัยกรรมทหารฉบับพิพาทจึงไม่เป็นพินัยกรรมแบบผู้ทำพินัยกรรมเขียนเองทั้งฉบับ
บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ที่จำเลยที่ 3 ยกขึ้นอ้างเป็นเรื่องอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกที่ตนมีสิทธิได้รับในฐานะทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม แต่คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมทหารฉบับพิพาทตกเป็นโมฆะ ไม่ใช่การใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ 3 จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติเรื่องอายุความดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10428/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันทึกเงินยืมเป็นหลักฐานการกู้ยืม แม้ไม่เข้าข่ายสัญญาตาม ป.รัษฎากร ก็ใช้เป็นพยานได้ หากมีพยานสนับสนุน
บันทึกเงินยืมมีข้อความว่า วันที่ 9 ธันวาคม 2543 ข้าพเจ้า ส. ขอทำบันทึกว่าได้ยืมเงินและรับเงินยืมจาก พ. ไปแล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 4,500,000 บาท (สี่ล้านห้าแสนบาท) จริง และขอชำระเงินยืมดังกล่าวคืนแก่ พ. ผู้ให้ยืมเงินต่อไปนี้... เพื่อเป็นหลักฐานในการบันทึกนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ลงชื่อไว้เป็นสำคัญต่อหน้าพยาน... ซึ่งก็จะได้ความว่าจำเลยเป็นผู้กู้ยืมและรับเงินไปจากโจทก์ 4,500,000 บาท ดังความในตอนท้ายที่มีลายมือชื่อของจำเลยว่าผู้ยืมและโจทก์ว่าผู้ให้ยืม บันทึกเงินยืมดังกล่าวจึงเป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง มิใช่เป็นหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน จึงไม่เข้าลักษณะตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 แม้โจทก์จะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3126/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานสัญญาเช่าซื้อเพื่อพิสูจน์กรรมสิทธิ์ในของกลางที่ถูกริบ การไม่เคร่งครัดบทบัญญัติมาตรา 238 ป.วิ.อ.
บทบัญญัติ ป.วิ.อ. มาตรา 238 วรรคหนึ่งที่ว่า ต้นฉบับเอกสารเท่านั้นที่อ้างเป็นพยานได้ เป็นบทบัญญัติในภาค 5 ของ ป.วิ.อ. ซึ่งมุ่งหมายที่จะใช้บังคับแก่พยานหลักฐานซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ตามมาตรา 226 ผู้ร้องเพียงนำสืบว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เครื่องถ่ายเอกสารของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วเพื่อขอให้ศาลสั่งคืนแก่ผู้ร้องตาม ป.อ. มาตรา 36 กรณีจึงไม่จำต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้โดยเคร่งครัด เมื่อผู้ร้องแนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อซึ่งผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องรับรองว่าถูกต้องและมีจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อเครื่องถ่ายเอกสารของกลางและลงชื่อในสำเนาสัญญาเช่าซื้อมาเบิกความยืนยัน ซึ่งโจทก์ยื่นคำคัดค้านเพียงว่าโจทก์ไม่รับรองสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้าง โดยมิได้คัดค้านว่าสำเนาสัญญาเช่าซื้อมีข้อความไม่ตรงกับต้นฉบับและไม่ถูกต้องอย่างไร สำเนาสัญญาเช่าซื้อจึงรับฟังได้ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อเครื่องถ่ายเอกสารของกลาง เมื่อจำเลยยังชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องไม่ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เครื่องถ่ายเอกสารของกลางและมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนเครื่องถ่ายเอกสารของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1565/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แผนที่พิพาทที่ศาลสั่งทำเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นพยานได้ แม้ไม่ได้ระบุในบัญชีพยาน
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 26 ไร่ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง โดยตั้งราคาที่ดินเป็นเงิน 300,000 บาท ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คู่ความทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 19 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งมีที่ตั้งตามรูปแผนที่ครอบในระวางแผนที่ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดเฉพาะส่วนที่โจทก์นำชี้ตามเส้นสีแดงเนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา ซึ่งคิดเป็นจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคท้าย ซึ่งศาลสามารถสั่งได้เองโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ แม้คู่ความจะมิได้ระบุพยานเพิ่มเติมศาลก็รับฟังพยานหลักฐานที่มีการสืบเพิ่มเติมนั้นได้ตามมาตรา 87 (2) ส่วนพยานหลักฐานนั้นจะมีน้ำหนักรับฟังได้เพียงใดเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน มิใช่เรื่องนอกประเด็นนอกคำฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคท้าย ซึ่งศาลสามารถสั่งได้เองโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ แม้คู่ความจะมิได้ระบุพยานเพิ่มเติมศาลก็รับฟังพยานหลักฐานที่มีการสืบเพิ่มเติมนั้นได้ตามมาตรา 87 (2) ส่วนพยานหลักฐานนั้นจะมีน้ำหนักรับฟังได้เพียงใดเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน มิใช่เรื่องนอกประเด็นนอกคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5288/2561
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมโมฆะเนื่องจากพยานไม่ได้ลงลายมือชื่อขณะทำพินัยกรรม และฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากประเด็นใหม่
ที่จำเลยฎีกาว่า ลายมือชื่อโจทก์ที่มอบอำนาจให้ ค. ดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ เป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า น. ไม่ได้ลงลายมือชื่อในพินัยกรรมต่อหน้า ส. และ บ. ซึ่งเป็นพยานในพินัยกรรมดังกล่าว เมื่อ ส. และ บ. ไม่ได้ลงลายมือชื่อรับรองขณะ น. ลงลายมือชื่อในพินัยกรรม แต่มาลงลายมือชื่อในภายหลัง ย่อมไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า น. ไม่ได้ลงลายมือชื่อในพินัยกรรมต่อหน้า ส. และ บ. ซึ่งเป็นพยานในพินัยกรรมดังกล่าว เมื่อ ส. และ บ. ไม่ได้ลงลายมือชื่อรับรองขณะ น. ลงลายมือชื่อในพินัยกรรม แต่มาลงลายมือชื่อในภายหลัง ย่อมไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7378/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยครอบครองยาเสพติดในบ้านเช่า นัดรับยาจากผู้อื่น สมุดบัญชีพบในห้องพัก พยานเบิกความประกอบ เชื่อได้ว่าจำเลยรู้เห็น
ก. ผู้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยทั้งสองมิใช่ผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยทั้งสอง คำเบิกความของ ก. ซึ่งเป็นประจักษ์พยานย่อมมิใช่คำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิด แต่ ก. เบิกความแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนเป็นการเบิกความกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องรอย ทั้งข้อเท็จจริงบางส่วนยังสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของ ก. ด้วย จึงมีเหตุผลเชื่อว่า ก. เบิกความช่วยเหลือจำเลยทั้งสองมากกว่าที่จะเบิกความไปตามที่เป็นจริง เชื่อว่า ก. ให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ เมื่อรับฟังประกอบคำเบิกความของ ร้อยตำรวจโท ศ. ผู้ร่วมจับกุม ที่ยืนยันว่า ก. โทรศัพท์สั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสอง โดยให้ ก. โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 และนัดรับมอบเมทแอมเฟตามีนที่บ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งต่อมาจำเลยทั้งสองก็ขับรถจักรยานยนต์มายังบ้านที่เกิดเหตุ แต่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองได้ก่อนที่จะส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่ ก. การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
ร้อยตำรวจโท ศ. และ ร้อยตำรวจโท พ. ผู้ร่วมจับกุมตรวจค้นพบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. ของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ภายในห้องของบ้านที่เกิดเหตุ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ยื่นกุญแจให้ไขตู้เสื้อผ้าที่ปิดล็อกก็พบเมทแอมเฟตามีนของกลาง และตามบันทึกการจับกุมระบุว่าจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นสามีภริยากันและเป็นผู้เช่าบ้านที่เกิดเหตุจริง จึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองรู้ว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านที่เกิดเหตุ จำเลยทั้งสองจึงร่วมกันครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางด้วย จึงมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.อ. (ฉบับที่ 25) พ.ศ.2559 ใช้บังคับ ซึ่งกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดเป็นคุณกว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดจึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ร้อยตำรวจโท ศ. และ ร้อยตำรวจโท พ. ผู้ร่วมจับกุมตรวจค้นพบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. ของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ภายในห้องของบ้านที่เกิดเหตุ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ยื่นกุญแจให้ไขตู้เสื้อผ้าที่ปิดล็อกก็พบเมทแอมเฟตามีนของกลาง และตามบันทึกการจับกุมระบุว่าจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นสามีภริยากันและเป็นผู้เช่าบ้านที่เกิดเหตุจริง จึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองรู้ว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านที่เกิดเหตุ จำเลยทั้งสองจึงร่วมกันครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางด้วย จึงมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.อ. (ฉบับที่ 25) พ.ศ.2559 ใช้บังคับ ซึ่งกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดเป็นคุณกว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดจึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5598/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความพยาน การใช้บันทึกคำให้การแทนการเบิกความต่อหน้าศาล ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมาย
การเบิกความเป็นพยานต่อศาลนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 113 ซึ่งนำมาใช้บังคับในคดีอาญาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 15 บัญญัติว่า พยานทุกคนต้องเบิกความด้วยวาจาและห้ามมิให้พยานอ่านข้อความที่เขียนมา ซึ่งเห็นได้ว่ากฎหมายประสงค์ให้ศาลและคู่ความฝ่ายอื่นได้มีโอกาสรับฟังคำเบิกความของพยานโดยตรง ให้พยานเล่าเหตุการณ์ที่ตนประสบมาด้วยตนเองและจากความทรงจำของพยานเอง มิให้มีโอกาสเสริมแต่งเรื่องราวให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง เว้นแต่จะมีข้อยกเว้นตามบทบัญญัติของกฎหมายให้เสนอคำพยานด้วยวิธีอื่น ในคดีอาญาซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลนั้น ป.วิ.อ. มาตรา 230/2 บัญญัติข้อยกเว้นดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะแล้วว่า ศาลอาจอนุญาตให้เสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ให้ถ้อยคำซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศแทนการนำพยานบุคคลมาเบิกความต่อหน้าศาลได้ ในกรณีที่ไม่อาจสืบพยานตามวิธีการที่บัญญัติในมาตรา 230/1 จึงไม่อาจนำบทบัญญัติ ป.วิ.พ.มาบังคับใช้โดยอนุโลมด้วยการให้พยานที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นตาม ป.วิ.อ.ดังกล่าวเบิกความด้วยวิธีส่งบันทึกถ้อยคำแทนการมาเบิกความด้วยวาจาได้ ดังนั้น การที่ทนายโจทก์ทั้งสองเสนอบันทึกถ้อยคำของพยานโจทก์ทั้งสองซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยแล้วแถลงขอให้ศาลใช้เป็นคำเบิกความของพยานโจทก์ แม้ทนายจำเลยจะแถลงรับว่าให้ถือเป็นคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสอง ก็ไม่อาจถือว่าบันทึกถ้อยคำดังกล่าวเป็นคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ บันทึกดังกล่าวคงมีลักษณะเป็นคำแถลงของพยานที่ศาลรับไว้เท่านั้น ส่วนจะนำมารับฟังได้หรือไม่ เพียงใด ย่อมเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะพยานหลักฐาน แต่อย่างไรก็ดี ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ทั้งสองไม่ได้อ้างส่งบันทึกถ้อยคำของพยานโจทก์ทั้งสองเป็นพยานเพียงลำพัง เพราะพยานดังกล่าวได้มาเบิกความต่อหน้าศาลโดยเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้าน และเบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสองถามติงด้วย แม้ถือไม่ได้ว่าบันทึกถ้อยคำดังกล่าวเป็นคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสอง แต่ก็คงมีผลเพียงว่าทนายโจทก์ทั้งสองไม่ติดใจซักถามพยานของตนก่อนเท่านั้น การดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว