พบผลลัพธ์ทั้งหมด 102 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประนีประนอมยอมความระงับผลคำพิพากษาเดิม: สิทธิในทรัพย์สินยังคงอยู่ตามนิติกรรมเดิม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและเรือนพิพาท จำเลยฎีกา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยไม่ขอถือเอาผลของคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองมาใช้บังคับต่อไป และศาลฎีกาได้พิพากษาไปตามยอมแล้ว ดังนี้ คำพิพากษาของศาลล่างย่อมระงับไปโดยผลของคำพิพากษาศาลฎีกา นิติกรรมการซื้อขายจึงมิได้ถูกเพิกถอนแต่อย่างใด ในเบื้องต้นจึงต้องฟังว่า เรือนพิพาทยังเป็นของผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขาย เมื่อผู้ซื้อถึงแก่กรรมทายาทของผู้ซื้อจึงมีสิทธิในเรือนนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1736-1737/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนรถยนต์เช่าซื้อ: สิทธิในทรัพย์สินและการพิพากษาคดีอาญาและแพ่งที่เกี่ยวเนื่อง
โจทก์ฟ้องคดีอาญาหาว่าจำเลยทุจริตโอนรถยนต์ให้ผู้มีชื่อไปโดยเจตนาไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้ลงโทษฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 แล้วฟ้องจำเลยกับผู้รับโอนรถยนต์เป็นจำเลยคดีแพ่งขอให้เพิกถอนการโอนรถยนต์ด้วย ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นแต่ผู้เช่าซื้อรถยนต์มาแล้วจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อจึงโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์นั้นให้แก่ผู้รับโอนซึ่งชำระเงินค่าเช่าซื้อที่เหลือจนครบ โดยผู้รับโอนเป็นเจ้าหนี้จำเลยซึ่งกู้เงินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์นั้นเองด้วย ดังนี้จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้องและจะบังคับให้เพิกถอนการโอนก็ไม่ได้ เพราะจำเลยเป็นแต่ผู้เช่าซื้อ หากเพิกถอนได้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องโอนกลับไปเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อตามเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 435/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายฝากและการชำระหนี้สินไถ่ สัญญาอำพรางมิได้ การฟ้องขับไล่และสิทธิในทรัพย์สิน
จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ แม้จะมีข้อตกลงต่อกันชำระดอกเบี้ยในเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยก็ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง ไม่เป็นการกู้เงินไปได้ ข้อต่อสู้ว่าชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วมีผลว่าชำระสินไถ่แล้วเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคดี: การบังคับคดีต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และให้โอกาสพิสูจน์สิทธิ
คำพิพากษาที่ได้กล่าวไว้ว่าให้บุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีมีส่วนได้ในทรัพย์สินใด ๆ ด้วยนั้น ย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอกที่อ้างว่าตนจะพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่า
ในชั้นบังคับคดีหากมีบุคคลภายนอกคัดค้านว่า ตนมีสิทธิในทรัพย์ที่ยึดดีกว่า ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 145 ศาลควรรอการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นไว้ก่อน และให้บุคคลภายนอกนั้นไปดำเนินคดีกับผู้ชนะคดีที่นำยึดทรัพย์ภายในกำหนดเสียก่อน ถ้าพ้นกำหนดไม่จัดการจึงให้ขายทอดตลาดทรัพย์ได้
ในชั้นบังคับคดีหากมีบุคคลภายนอกคัดค้านว่า ตนมีสิทธิในทรัพย์ที่ยึดดีกว่า ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 145 ศาลควรรอการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นไว้ก่อน และให้บุคคลภายนอกนั้นไปดำเนินคดีกับผู้ชนะคดีที่นำยึดทรัพย์ภายในกำหนดเสียก่อน ถ้าพ้นกำหนดไม่จัดการจึงให้ขายทอดตลาดทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบุคคลภายนอกในคดีบังคับคดี: ศาลต้องรอการบังคับคดีหากมีผู้มีสิทธิมากกว่าอ้างสิทธิในทรัพย์สิน
คำพิพากษาที่ได้กล่าวไว้ว่าให้บุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีมีส่วนได้ในทรัพย์สินใดๆ ด้วยนั้น
ย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอกที่อ้างว่าตนจะพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่า
ในชั้นบังคับคดีหากมีบุคคลภายนอกคัดค้านว่าตนมีสิทธิในทรัพย์ที่ยึดดีกว่า ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ศาลควรรอการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นไว้ก่อน และให้บุคคลภายนอกนั้นไปดำเนินคดีกับผู้ชนะคดีที่นำยึดทรัพย์ภายในกำหนดเสียก่อนถ้าพ้นกำหนดไม่จัดการจึงให้ขายทอดตลาดทรัพย์ได้
ย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอกที่อ้างว่าตนจะพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่า
ในชั้นบังคับคดีหากมีบุคคลภายนอกคัดค้านว่าตนมีสิทธิในทรัพย์ที่ยึดดีกว่า ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ศาลควรรอการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นไว้ก่อน และให้บุคคลภายนอกนั้นไปดำเนินคดีกับผู้ชนะคดีที่นำยึดทรัพย์ภายในกำหนดเสียก่อนถ้าพ้นกำหนดไม่จัดการจึงให้ขายทอดตลาดทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของผู้อื่น: การเป็นส่วนควบและการสิทธิในทรัพย์สิน
โจทก์ขออนุญาตปลูกเรือนพิพาทในที่วัดโดยตกลงกับวัดไว้ตามความตอนหนึ่ง ในหนังสือของโจทก์ที่มีไปถึงวัดดังนี้ " บ้านพักซึ่งหม่อมฉันปลูกไว้ในที่ดินขออาศัยนี้ หากหม่อมฉันเป็นตายร้ายดีลง หรือจะอยู่ในที่นั้นไม่ได้ต่อไป ก็ขอน้อมถวายให้เป็นสมบัติของวัดพระมหาธาตุต่อไปด้วย" เช่นนี้ย่อมเป็นการแสดงออกซึ่งเจตนาโดยชัดแจ้งว่าให้สิ่งปลูกสร้างนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินจะไม่รื้อถอนเอาไป เรือนพิพาทย่อมตกได้แก่เจ้าของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตาม มาตรา 109 ดังนี้เมื่อโจทก์ไม่พอใจอยู่บ้านนั้นต่อไปแล้วโจทก์ก็ไม่มีสิทธิรื้อถอนเรือนไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อฉลทำสัญญาแบ่งที่ดิน และการบุกรุกที่ดินของผู้อื่น ถือเป็นการละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน
ให้ลงชื่อในสัญญาแบ่งที่นา โดยหลอกให้เข้าใจว่าลงชื่อขอรับโฉนดผู้ที่ฉ้อฉลจะอ้างว่ามีสัญญาให้ทำนาไม่ได้ การเข้าทำนาย่อมเป็นการละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยค่าเสียหายตามควรแก่กรณี แม้โจทก์มิได้พิสูจน์ความเสียหายได้ครบถ้วน
เมื่อฟังว่าจำเลยละเมิด แม้โจทก์จะสืบในเรื่องค่าเสียหายไม่ได้ ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิด
ในฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยละเมิดปลูกห้องล้ำที่โจทก์ ทำให้น้ำฝนสาดห้องโจทก์เสียหาย 100 บาท แต่กลับสืบว่าทำให้น้ำฝนสาดยาม้วนของโจทก์เสียหาย 2 ม้วนเป็นเงิน 100 บาท ศาลวินิจฉัยค่าเสียหายให้โจทก์ 20 บาทดังนี้ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้
ในฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยละเมิดปลูกห้องล้ำที่โจทก์ ทำให้น้ำฝนสาดห้องโจทก์เสียหาย 100 บาท แต่กลับสืบว่าทำให้น้ำฝนสาดยาม้วนของโจทก์เสียหาย 2 ม้วนเป็นเงิน 100 บาท ศาลวินิจฉัยค่าเสียหายให้โจทก์ 20 บาทดังนี้ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกาในคดีอาญาปนแพ่ง: วินิจฉัยสิทธิในทรัพย์สินได้แม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ชี้ขาด
ความผิดฐานลักทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยข้อเท็จจริงโจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
แต่ในกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาในคดีส่วนแพ่งคือจะสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้รายพิพาทได้หรือไม่นั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม้รายพิพาทเป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ข้อเท็จจริงให้แน่นอนลงไปว่าไม้เป็นของโจทก์หรือผู้ใดแล้วเช่นนี้ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ว่าไม้รายพิพาทเป็นของฝ่ายใด และจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ให้เพียงใดหรือไม่
ในเรื่องคดีอาญาปนแพ่งนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46) แต่ต้องถือตามบทบัญญัติแห่ง กฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งด้วย (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47) (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
แต่ในกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาในคดีส่วนแพ่งคือจะสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้รายพิพาทได้หรือไม่นั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม้รายพิพาทเป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ข้อเท็จจริงให้แน่นอนลงไปว่าไม้เป็นของโจทก์หรือผู้ใดแล้วเช่นนี้ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ว่าไม้รายพิพาทเป็นของฝ่ายใด และจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ให้เพียงใดหรือไม่
ในเรื่องคดีอาญาปนแพ่งนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46) แต่ต้องถือตามบทบัญญัติแห่ง กฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งด้วย (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47) (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 705/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีขัดทรัพย์: ผู้อ้างสิทธิเหนือทรัพย์สินมีหน้าที่พิสูจน์สิทธิของตน
ผู้ร้องขัดทรัพย์ย่อมมีฐานะเป็นโจทก์ในคดีชั้นขัดทรัพย์ส่วนโจทก์เดิมอยู่ในฐานะผู้คัดค้าน
ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่านาที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยโจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องได้สละสิทธิยกให้จำเลยแล้วเช่นนี้เท่ากับว่าโจทก์ปฏิเสธว่านาไม่ใช่ของผู้ร้อง ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าข้อเท็จจริงยังโต้เถียงกันอยู่ว่าใครเป็นผู้ครอบครองหน้าที่นำสืบจึงตกแก่ผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องไม่สืบพยานก็ต้องแพ้คดี
ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่านาที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยโจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องได้สละสิทธิยกให้จำเลยแล้วเช่นนี้เท่ากับว่าโจทก์ปฏิเสธว่านาไม่ใช่ของผู้ร้อง ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าข้อเท็จจริงยังโต้เถียงกันอยู่ว่าใครเป็นผู้ครอบครองหน้าที่นำสืบจึงตกแก่ผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องไม่สืบพยานก็ต้องแพ้คดี