พบผลลัพธ์ทั้งหมด 990 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การเกินกำหนด: การจำแนกประเภทคำสั่งและสิทธิอุทธรณ์
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การของจำเลยเพราะยื่นเกินกำหนด 8 วัน นับแต่วันรับหมายเรียกเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 (3) แต่จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ กลับยื่นคำร้องใหม่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การที่ได้ยื่นไว้ ศาลชั้นต้นไต่สวน (โดยสอบข้อเท็จจริงจากทนายจำเลย) แล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ คำสั่งตอนหลังนี้ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จะอุทธรณ์ในทันทีไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งหนี้ภาษีและการคิดเงินเพิ่ม กรณีไม่ชำระภาษีตามกำหนด
คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภาษีการค้า ไม่ใช่การประเมิน แต่เป็นการแจ้งให้ทราบว่าต้องเสียภาษีการค้า เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับ ภาษีบำรุงเทศบาล และเงินเพิ่มตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา89 ทวิด้วย
ภาษีการค้าต้องชำระตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 86,86 ทวิถ้าไม่ชำระก็ต้องเสียเงินเพิ่มตาม มาตรา 89 ทวิ มาตรา 89 ทวิเป็นเรื่องไม่เสียภาษีตามกำหนดเวลาต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน มาตรา 31 เป็นเรื่องอุทธรณ์และทุเลาการบังคับยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ไม่ใช่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
ภาษีการค้าต้องชำระตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 86,86 ทวิถ้าไม่ชำระก็ต้องเสียเงินเพิ่มตาม มาตรา 89 ทวิ มาตรา 89 ทวิเป็นเรื่องไม่เสียภาษีตามกำหนดเวลาต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน มาตรา 31 เป็นเรื่องอุทธรณ์และทุเลาการบังคับยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ไม่ใช่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานเงินทดแทนและการฟ้องคดีหลังพ้นกำหนด ทำให้เกิดความผิดตามประกาศคณะปฏิวัติ
ห้างหุ้นส่วนจำกัดนายจ้างไม่จ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างตามคำสั่งพนักงานเงินทดแทน ซึ่งอธิบดีกรมแรงงานยกอุทธรณ์เพราะยื่นเกิน 30 วัน อันเป็นกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ นายจ้างไม่ยื่นอุทธรณ์คำสั่งอธิบดีต่อศาลภายใน 30 วัน คำสั่งนั้นถึงที่สุด นายจ้างนำคดีมาฟ้องศาลภายหลัง การไม่จ่ายเงินเป็นความผิดตาม ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16มีนาคม 2515 ข้อ 8 นายจ้างจ่ายเงินเมื่ออัยการฟ้องนายจ้างแล้วนายจ้างไม่พ้นความผิด หุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งเป็นผู้ทำการแทนนิติบุคคลมีความผิดเช่นเดียวกับห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมอุทธรณ์ในคดีอาญา: กรอบเวลาและข้อยกเว้น
ในคดีอาญาผู้อุทธรณ์อาจเพิ่มเติมอุทธรณ์ได้ ถ้าเป็นการเพิ่มประเด็นจากอุทธรณ์เดิมต้องทำภายในกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ถ้าเป็นแต่เพิ่มข้อความในประเด็นเดิมก็ไม่อยู่ในจำกัดเวลาตาม มาตรา 198
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาและการพ้นกำหนดเวลายื่นคำร้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของโจทก์นั้น ชอบที่ศาลชั้นต้นจะส่งไปให้ศาลฎีกาพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นส่งไปยังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษาไปนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อันเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์นั้นเสีย
ฎีกาของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้น โจทก์จะต้องฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 การที่โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2519 และในแบบพิมพ์ท้ายฎีกามีข้อความว่า "รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว" ทั้งยังปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในวันนั้นเอง ดังนี้ต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้น โจทก์เพิ่งมายื่นฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2519 ซึ่งพ้นกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งโจทก์
ฎีกาของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้น โจทก์จะต้องฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 การที่โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2519 และในแบบพิมพ์ท้ายฎีกามีข้อความว่า "รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว" ทั้งยังปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในวันนั้นเอง ดังนี้ต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้น โจทก์เพิ่งมายื่นฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2519 ซึ่งพ้นกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับฎีกาต้องยื่นภายในกำหนด และการส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
คำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของโจทก์นั้น ชอบที่ศาลชั้นต้นจะส่งไปให้ศาลฎีกาพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นส่งไปยังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษาไปนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อันเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์นั้นเสีย
ฎีกาของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้น โจทก์จะต้องฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 224 การที่โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2519 และในแบบพิมพ์ท้ายฎีกามีข้อความว่า "รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว" ทั้งยังปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในวันนั้นเอง ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้นโจทก์เพิ่งมายื่นฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2519 ซึ่งพ้นกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งโจทก์
ฎีกาของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้น โจทก์จะต้องฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 224 การที่โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2519 และในแบบพิมพ์ท้ายฎีกามีข้อความว่า "รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว" ทั้งยังปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในวันนั้นเอง ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้นโจทก์เพิ่งมายื่นฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2519 ซึ่งพ้นกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกกล่าวการผิดสัญญาและการเลิกสัญญาซื้อขายแร่: กำหนดเวลาชำระหนี้
จำเลยไม่เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิดให้โจทก์ส่งแร่ตามกำหนดในสัญญา แต่คู่กรณีไม่ถือกำหนดเวลาเคร่งครัดตามสัญญา เมื่อจำเลยไม่เปิดเครดิตสำหรับงวดต่อไปอีก โจทก์ต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ตาม มาตรา 387 ก่อน จึงจะเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนอาวุธปืนและการยกเว้นโทษทางอาญา
จำเลยนำอาวุธปืนไปจดทะเบียนตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ฉบับที่ 6 ภายใน 90 วัน เจ้าพนักงานมอบให้จำเลยรักษาไว้ เป็นการรักษาไว้แทนนายทะเบียน จำเลยไม่ต้องรับโทษแม้จะพ้นกำหนด 90 วัน แล้วยังไม่ได้รับใบอนุญาตก็ตาม ส่วนกระสุนปืนจำเลยไม่ได้นำไปมอบต่อนายทะเบียนจึงไม่ได้รับยกเว้นโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลภายในกำหนด และคดีไม่มีมูลฟ้อง ทำให้ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา แม้ยากจน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งยกคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาโดยให้เหตุผลว่าโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่คนอนาถาประการหนึ่ง และคดีไม่มีมูลที่จะฟ้องร้องอีกประการหนึ่ง โจทก์ที่ 2 มิได้อุทธรณ์คำสั่งภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตอีกให้โจทก์ที่ 2 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ที่ 2 ย่อมหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสุดท้าย ประเด็นที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าคดีของโจทก์ที่ 2 ไม่มีมูลฟ้องร้องย่อมยุติ ดังนั้น แม้ศาลจะอนุญาตให้โจทก์นำพยานสืบเพิ่มเติมตามคำร้องของโจทก์ที่ 2 และฟังได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นคนยากจนก็ตาม แต่คดีต้องฟังยุติว่าคดีของโจทก์ที่ 2 ไม่มีมูลจะฟ้องร้อง ศาลก็จะอนุญาตให้โจทก์ที่ 2 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาหาได้ไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ที่ 2 ใหม่ เพื่อนำพยานหลักฐานมาแสดงว่าโจทก์ที่ 2 ยากจนจริง โดยไม่ทำการไต่สวนนั้น จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดระยะเวลาในสัญญาซื้อขาย: การระบุวันสิ้นสุดที่แน่นอนมีผลเหนือวิธีการนับตามกฎหมาย
บันทึกเปรียบเทียบที่โจทก์จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2517 มีข้อความว่า ให้จำเลยขายที่ดินคืนให้โจทก์ภายในกำหนด 1 ปี ถ้าพ้นกำหนด 1 ปี (19 มีนาคม 2518) ยังไม่มีการซื้อขายที่ดินคืนก็ให้ยกเลิกข้อตกลง การที่ระบุข้อความในวงเล็บว่า "19 มีนาคม 2518" ไว้ก็ด้วยเจตนาที่จะกำหนดวันสิ้นสุดแห่งระยะเวลา 1 ปี ไว้เป็นที่แน่นอน เป็นข้อยกเว้นโดยนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 จะนำวิธีการกำหนดนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158, 159 มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องถือว่าวันที่ 19 มีนาคม 2518 เป็นวันสิ้นสุดระยะเวาลาที่โจทก์มีสิทธิขอซื้อที่ดินคืน เมื่อโจทก์ขอซื้อคืนในวันที่ 20 มีนาคม 2518 โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะซื้อคืน