พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4003/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินของโรงเรียนเอกชน การพิสูจน์ว่าโรงเรียนไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการกุศล และการใช้ประโยชน์เพื่อหารายได้
ผู้แทนหรือผู้มีอำนาจกระทำแทนมิซซังตามพระราชบัญญัติว่าด้วยลักษณะฐานะของวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิกในกรุงสยามตามกฎหมาย ร.ศ. 128 ข้อ 2 วรรคสองมีอยู่ 2 คน คือ อ. ที่โป๊ปได้แต่งตั้งมา และถ้าไม่มีตัวอยู่คนที่เป็นผู้แทนอีกคนหนึ่งคือผู้บัญชาการของมิซซังมิซซังโรมันคาทอลิกกรุงเทพมหานครโจทก์มี ค. เป็นมุขนายกซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองดูแลมิซซัง จึงถือว่า ค. เป็นผู้บัญชาการของมิซซังมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และมีอำนาจมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนต่อไป เมื่อ ค. มอบอำนาจให้ ป. ฟ้องคดีและให้มีอำนาจมอบอำนาจช่วงได้ เมื่อ ป. มอบอำนาจให้ ม. และหรือ ว. ฟ้องคดีแทน ม. และหรือ ว. จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้
แม้คณะเทศมนตรีไม่ใช่นิติบุคคล แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นคณะเทศมนตรี โดย ศ. นายกเทศมนตรีในฐานะประธานกรรมการผู้มีอำนาจรับคำร้องและวินิจฉัยแจ้งคำชี้ขาดการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของผู้ร้องอุทธรณ์ตามกฎหมาย ถือได้ว่าโจทก์ฟ้อง ศ. นายกเทศมนตรีในฐานะผู้แจ้งคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่ เมื่อโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยชี้ขาด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะเทศมนตรี เพื่อให้ ศ. ในฐานะผู้แจ้งคำชี้ขาดเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์
โรงเรียนที่จะได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 9(3) ต้องมีลักษณะเป็นโรงเรียนสาธารณะ กระทำกิจการอันมิใช่เพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคล และจะต้องใช้ในการศึกษาเท่านั้น โรงเรียนของโจทก์เป็นโรงเรียนเอกชนเก็บค่าธรรมเนียมการเรียนเป็นอัตราแน่นอนและได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ทั้งมีรายได้แต่ละปีเป็นจำนวนมาก และโจทก์ยังใช้สถานที่ของโรงเรียนหารายได้นอกเหนือจากการศึกษา โดยนำไปให้บุคคลภายนอกใช้และเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจึงมิใช่เป็นการกระทำกิจการอันมิใช่เพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคลและมิได้ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น เมื่อโรงเรียนของโจทก์ไม่ใช่ลักษณะของโรงเรียนตามมาตรา 9(3) โจทก์จึงต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน
แม้คณะเทศมนตรีไม่ใช่นิติบุคคล แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นคณะเทศมนตรี โดย ศ. นายกเทศมนตรีในฐานะประธานกรรมการผู้มีอำนาจรับคำร้องและวินิจฉัยแจ้งคำชี้ขาดการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของผู้ร้องอุทธรณ์ตามกฎหมาย ถือได้ว่าโจทก์ฟ้อง ศ. นายกเทศมนตรีในฐานะผู้แจ้งคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่ เมื่อโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยชี้ขาด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะเทศมนตรี เพื่อให้ ศ. ในฐานะผู้แจ้งคำชี้ขาดเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์
โรงเรียนที่จะได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 9(3) ต้องมีลักษณะเป็นโรงเรียนสาธารณะ กระทำกิจการอันมิใช่เพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคล และจะต้องใช้ในการศึกษาเท่านั้น โรงเรียนของโจทก์เป็นโรงเรียนเอกชนเก็บค่าธรรมเนียมการเรียนเป็นอัตราแน่นอนและได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ทั้งมีรายได้แต่ละปีเป็นจำนวนมาก และโจทก์ยังใช้สถานที่ของโรงเรียนหารายได้นอกเหนือจากการศึกษา โดยนำไปให้บุคคลภายนอกใช้และเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจึงมิใช่เป็นการกระทำกิจการอันมิใช่เพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคลและมิได้ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น เมื่อโรงเรียนของโจทก์ไม่ใช่ลักษณะของโรงเรียนตามมาตรา 9(3) โจทก์จึงต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4639/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมยกทรัพย์สินให้การกุศลตัดสิทธิทายาทโดยธรรม
เมื่อข้อกำหนดในพินัยกรรมได้กำหนดให้จัดการทรัพย์สินทั้งหมดของผู้ตายโดยให้ผู้จัดการมรดกบริจาคทรัพย์สินให้แก่องค์การกุศลใด ๆ ตามแต่ผู้จัดการมรดกจะเห็นสมควรเป็นการชัดแจ้งและทราบได้แน่นอนแล้วว่าต้องมอบทรัพย์สินทั้งหมดของผู้ตายให้เฉพาะเพื่อองค์การกุศลเท่านั้น ข้อกำหนดพินัยกรรมดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1706 (3) และเมื่อผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่องค์การกุศลจึงต้องถือว่าผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายถูกตัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย ตามมาตรา 1608 วรรคท้ายผู้คัดค้านทั้งสองย่อมไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในมรดกของผู้ตาย ไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดก ตามมาตรา 1727 หรือร้องขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 2เป็นผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1713
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5347/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าจากเหตุประพฤติชั่วร้ายแรง: การเข้าร่วมกิจกรรมสังคม, การบริจาคเพื่อการกุศล, และการร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ถือเป็นเหตุหย่า
การเข้าร่วมประชุมสมาคมแม่บ้านมหาดไทยเป็นสิทธิโดยชอบของจำเลยจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องขอความยินยอมจากโจทก์เสียก่อนทั้งวัตถุประสงค์ของสมาคมที่จำเลยเข้าร่วมประชุมก็เพื่อช่วยเหลือสังคมและประกอบการกุศลต่างๆจึงไม่เป็นการประพฤติชั่ว เมื่อจำเลยดำรงตำแหน่งประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดมหาสารคามมีอำนาจกระทำการต่างๆเกี่ยวกับการกุศลได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรเหล่ากาชาดซึ่งเป็นองค์กรเกี่ยวกับการกุศลการที่จำเลยในฐานะภริยาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดได้โทรศัพท์ไปยังเสมียนตราจังหวัดมหาสารคามให้บริจากเงินของเหล่ากาชาดจึงน่าจะกระทำได้เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกุศลไม่เป็นการประพฤติชั่ว การกระทำของจำเลยเป็นการทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาของโจทก์โดยเหล่าเหตุการณ์ตามความเป็นจริงเป็นการกล่าวป้องกันส่วนได้เสียของจำเลยมิให้โจทก์แสดงต่อบุคคลภายนอกว่าจำเลยมิใช่ภริยาโจทก์ดังที่แล้วมาไม่เป็นการใส่ความโจทก์และไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อกำหนดพินัยกรรมมอบเงินให้สถาบันการกุศล ไม่เป็นโมฆะ แม้มิได้ระบุเจาะจง
ข้อกำหนดในพินัยกรรมกำหนดให้ผู้จัดการมรดกรวบรวมทรัพย์สินจำหน่ายเป็นเงินสด และให้ใช้จ่ายเป็นค่าทำศพเจ้ามรดกก่อน หากยังมีเงินเหลืออีกเท่าใด ให้ผู้จัดการมรดกจัดสรรทำบุญ หรือมอบให้สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลใด ตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร การมอบเงินให้สถาบันหรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลนั้น ถือได้ว่าเป็นการทำบุญ ซึ่งเจ้ามรดกได้ระบุข้อความดังกล่าวให้อยู่ในวงจำกัดแน่นอนว่า จะต้องมอบให้เฉพาะเพื่อสาธารณกุศาลเท่านั้น จะมอบให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งทั่ว ๆ ไป หรือมิใช่เพื่อการกุศลตามแต่ใจของผู้จัดการมรดกไม่ได้ ไม่จำเป็นจะต้องระบุเจาะจงลงไปว่าเป็นสถาบันหรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลใดโดนเฉพาะ ฉะนั้นข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการกำหนดบุคคลซึ่งอาจทราบตัวแน่นอนได้ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 (2)
ข้อกำหนดในพินัยกรรมได้ระบุว่า ให้ผู้จัดการมรดกนำเงินสดที่เหลือจากการทำศพ มอบให้แก่สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศล เพื่อการกุศลตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร ไม่ใช่ให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 (3)
ข้อกำหนดในพินัยกรรมได้ระบุว่า ให้ผู้จัดการมรดกนำเงินสดที่เหลือจากการทำศพ มอบให้แก่สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศล เพื่อการกุศลตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร ไม่ใช่ให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 (3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อกำหนดพินัยกรรมมอบเงินให้การกุศล ไม่เป็นโมฆะ แม้มิได้ระบุสถาบันชัดเจน
ข้อกำหนดในพินัยกรรมกำหนดให้ผู้จัดการมรดกรวบรวมทรัพย์สินจำหน่ายเป็นเงินสด และให้ใช้จ่ายเป็นค่าทำศพเจ้ามรดกก่อน หากยังมีเงินเหลืออีกเท่าใด ให้ผู้จัดการมรดกจัดสรรทำบุญ หรือมอบให้สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลใดตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควรการมอบเงินให้สถาบันหรือสถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลนั้น ถือได้ว่าเป็นการทำบุญซึ่งเจ้ามรดกได้ระบุข้อความดังกล่าวให้อยู่ในวงจำกัดแน่นอนว่าจะต้องมอบให้เฉพาะเพื่อสาธารณกุศลเท่านั้น จะมอบให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งทั่วๆ ไป หรือมิใช่เพื่อการกุศลตามแต่ใจของผู้จัดการมรดกไม่ได้ไม่จำเป็นจะต้องระบุเจาะจงลงไปว่าเป็นสถาบัน สถานที่ หรือกิจการสาธารณกุศลใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกำหนดบุคคลซึ่งอาจทราบตัวแน่นอนได้ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(2)
ข้อกำหนดในพินัยกรรมได้ระบุว่า ให้ผู้จัดการมรดกนำเงินสดที่เหลือจากการทำศพ มอบให้แก่สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการเพื่อการกุศลตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร ไม่ใช่ให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(3)
ข้อกำหนดในพินัยกรรมได้ระบุว่า ให้ผู้จัดการมรดกนำเงินสดที่เหลือจากการทำศพ มอบให้แก่สถาบัน หรือสถานที่ หรือกิจการเพื่อการกุศลตามแต่ผู้จัดการมรดกเห็นสมควร ไม่ใช่ให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1615/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมกำหนดให้บริจาคเงินและทรัพย์สินเพื่อการกุศล มิใช่เงื่อนไขทำให้พินัยกรรมมีผล
ข้อความในพินัยกรรมที่สั่งให้ขายทรัพย์ ได้เงินเท่าใดให้มอบให้กรมการศาสนาจำนวนหนึ่งเพื่อตั้งเป็นมูลนิธิเอาเงินผลประโยชน์บำรุงการกุศล ส่วนเงินที่เหลือกับทรัพย์อื่นยกให้แก่บุคคลอีคนหนึ่งนั้น มิใช่เงื่อนไขซึ่งกำหนดให้พินัยกรรมมีผลใช้บังคับต่อเมื่อเงื่อนไขหรือข้อกำหนดตามพินัยกรรมได้ทำสำเร็จแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9694/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะผู้เสียภาษีสรรพสามิต: การจัดแข่งม้าการกุศลและการพิสูจน์ความเป็นตัวแทน
คำขอยกเว้นภาษีสรรพสามิตตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 102 ทวิ (1) และ (2) ที่โจทก์ยื่น ระบุว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการสถานบริการ แต่ขอยกเว้นค่าภาษีสรรพสามิตเพื่อบริจาครายรับเป็นสาธารณประโยชน์ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งเป็นการกระทำในนามของโจทก์เองไม่ได้ระบุว่าโจทก์ยื่นคำขอยกเว้นแทนองค์กรใด และโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่าโจทก์ได้ส่งมอบรายรับทั้งหมดเป็นสาธารณประโยชน์ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ตามที่โจทก์อ้าง โจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตในฐานะเป็นผู้ประกอบกิจการสถานบริการสนามแข่งม้า