พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บทบัญญัติมาตรา 73 พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ มิใช่บทเพิ่มโทษ แต่เป็นบทกำหนดโทษที่หนักขึ้น และการริบของกลางต้องมีคำขอ
การมีแผ่นวิดีโอซีดีแผ่นซีดีและแผ่นซีดีรอมไว้เพื่อขายและเสนอขายกับการประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ในคราวเดียวกันนั้น เป็นการกระทำโดยอาศัยเจตนาที่แยกต่างหากจากกันและเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับกัน จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 73 เป็นบทระวางโทษที่หนักขึ้นเป็นสองเท่าของระวางโทษตามมาตรา 70 วรรคสองหาใช่บทเพิ่มโทษที่จะลงแก่จำเลยให้หนักขึ้นเป็นสองเท่าไม่
โจทก์มีคำขอเพียงให้แผ่นวิดีโอซีดีแผ่นซีดีและแผ่นซีดีรอมของกลาง ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น ไม่มีของกลางรายการอื่นที่โจทก์ขอให้ริบอีก ดังนั้น การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้ริบสิ่งของที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดมาด้วยจึงเป็นการเกินคำขอ
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 73 เป็นบทระวางโทษที่หนักขึ้นเป็นสองเท่าของระวางโทษตามมาตรา 70 วรรคสองหาใช่บทเพิ่มโทษที่จะลงแก่จำเลยให้หนักขึ้นเป็นสองเท่าไม่
โจทก์มีคำขอเพียงให้แผ่นวิดีโอซีดีแผ่นซีดีและแผ่นซีดีรอมของกลาง ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น ไม่มีของกลางรายการอื่นที่โจทก์ขอให้ริบอีก ดังนั้น การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้ริบสิ่งของที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดมาด้วยจึงเป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลดจากล้มละลาย: กรณีพิเศษตามมาตรา 73 (1) พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 และอำนาจศาล
คำสั่งคำขอปลดจากล้มละลายอาจแยกได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ อันได้แก่ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 71วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งปลดจากล้มละลาย ถ้าได้ความว่าเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต นอกจากจะมีเหตุผลพิเศษและลูกหนี้ได้ล้มละลายแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี และตามมาตรา 72 ที่บัญญัติว่า ถ้าพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ในมาตรา 73 แล้ว ให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตาม (1) ถึง (4) ถ้าไม่ใช่กรณีดังที่บัญญัติในมาตรา 71 วรรคสอง และมาตรา 72ดังกล่าวข้างต้นแล้วก็เป็นกรณีทั่วไปซึ่งศาลมีอำนาจมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง
ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวม 4 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น2,916,766.76 บาท ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 5 และที่ 7 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้คงเหลือเจ้าหนี้รายที่ 2 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 240,301.37 บาท และเจ้าหนี้รายที่ 9 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 132,305 บาท จำเลยที่ 2 มีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แต่ถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดและขายทอดตลาดชำระหนี้จำนองให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด เจ้าหนี้ผู้รับจำนอง หลังจากศาลมีคำสั่งให้ปิดคดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้อีก แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีสินทรัพย์เหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน เหตุที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความประมาทหรือความผิดพลาดของจำเลยที่ 2ที่ยอมทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 อันควรตำหนิจำเลยที่ 2 มากกว่า และจำเลยที่ 2 ไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 สามารถชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ได้จึงได้ยอมก่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน ข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดมาตรา 73 (1)จึงเป็นกรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72 (1) ถึง (4) ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ ต้องมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72 (4) เท่านั้นทั้งไม่ใช่กรณีทั่วไปที่ศาลมีอำนาจมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง
ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73 (1) ที่ระบุว่าสินทรัพย์ของบุคคลล้มละลายที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้มีเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันหมายความว่า ในขณะที่บุคคลล้มละลายร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งปลดจากล้มละลาย บุคคลล้มละลายมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้หลังจากศาลมีคำสั่งปิดคดี ย่อมอยู่ในความหมายของมาตรา 73 (1)ดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามมาตรา 73 (1) ศาลจึงต้องมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72 (1) ถึง (4)
ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวม 4 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น2,916,766.76 บาท ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 5 และที่ 7 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้คงเหลือเจ้าหนี้รายที่ 2 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 240,301.37 บาท และเจ้าหนี้รายที่ 9 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 132,305 บาท จำเลยที่ 2 มีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แต่ถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดและขายทอดตลาดชำระหนี้จำนองให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด เจ้าหนี้ผู้รับจำนอง หลังจากศาลมีคำสั่งให้ปิดคดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้อีก แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีสินทรัพย์เหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน เหตุที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความประมาทหรือความผิดพลาดของจำเลยที่ 2ที่ยอมทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 อันควรตำหนิจำเลยที่ 2 มากกว่า และจำเลยที่ 2 ไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 สามารถชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ได้จึงได้ยอมก่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน ข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดมาตรา 73 (1)จึงเป็นกรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72 (1) ถึง (4) ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ ต้องมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72 (4) เท่านั้นทั้งไม่ใช่กรณีทั่วไปที่ศาลมีอำนาจมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง
ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73 (1) ที่ระบุว่าสินทรัพย์ของบุคคลล้มละลายที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้มีเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันหมายความว่า ในขณะที่บุคคลล้มละลายร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งปลดจากล้มละลาย บุคคลล้มละลายมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้หลังจากศาลมีคำสั่งปิดคดี ย่อมอยู่ในความหมายของมาตรา 73 (1)ดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามมาตรา 73 (1) ศาลจึงต้องมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72 (1) ถึง (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลดจากล้มละลายตามมาตรา 73(1) พ.ร.บ.ล้มละลายฯ: ทรัพย์สินที่อาจแบ่งได้ไม่ถึง 50% ของหนี้
คำสั่งคำขอปลดจากล้มละลายอาจแยกได้เป็น 2 กรณีคือ กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 71 วรรคสอง ที่ห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งปลดจาก ล้มละลาย ถ้าได้ความว่าเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต นอกจากจะมี เหตุผลพิเศษและลูกหนี้ได้ล้มละลายแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี และตามมาตรา 72 ที่กำหนดว่าถ้าพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความ อย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ในมาตรา 73 แล้ว ให้ศาลมีคำสั่ง อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตาม (1) ถึง (4) ถ้าไม่ใช่กรณี ดังกล่าวแล้วก็เป็นกรณีทั่วไปซึ่งศาลมีอำนาจมีคำสั่ง อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดตามมาตรา 73(1) จึงเป็น กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด หรือหลายอย่างตามมาตรา 72(1) ถึง (4) ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ ต้องมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72(4) เท่านั้น กรณีพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73(1) ระบุว่า สินทรัพย์ของบุคคลล้มละลายที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้มีเหลือ ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันนั้นหมายความว่า ในขณะที่บุคคลล้มละลายร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งปลดจาก ล้มละลายบุคคลล้มละลายมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันการที่เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้หลังจาก ศาลมีคำสั่งปิดคดี ย่อมอยู่ในความหมายของมาตรา 73(1) ดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เต็มจำนวนหนี้ซึ่งยังไม่ได้ชำระให้เสร็จ ภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งตามมาตรา 72(4) จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4049/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการถอนกรรมการชั่วคราวที่ศาลตั้งตามมาตรา 73 แม้มาตรา 1151 กำหนดอำนาจเฉพาะที่ประชุมใหญ่
แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1151 จะกำหนดให้เฉพาะที่ประชุมใหญ่เท่านั้นที่จะตั้งหรือถอนกรรมการบริษัทได้ก็ตาม แต่ก็มิได้ตัดอำนาจของศาลที่จะถอนผู้แทนนิติบุคคลชั่วคราวที่ศาลตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 73 ถึงแม้ว่าจะไม่มีบทบัญญัติโดยตรงให้ศาลถอนผู้แทนนิติบุคคลชั่วคราวก็ตาม แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งถอนผู้แทนนิติบุคคลชั่วคราวที่ศาลตั้งได้หากมีเหตุอันสมควร ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าหากกฎหมายประสงค์จะให้ศาลมีอำนาจถอนผู้แทนนิติบุคคลชั่วคราวที่ศาลตั้งขึ้นก็ย่อมจะบัญญัติไว้แต่ไม่ปรากฏว่าได้บัญญัติเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใดนั้น จึงไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษทางอาญาตามมาตรา 73 ต้องพิสูจน์การพ้นโทษครั้งแรกภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
โจทก์บรรยายฟ้องในข้อขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบว่าจำเลยเคยต้องโทษมาแล้ว 2 ครั้งครั้งแรกจำคุก 4 ปีฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามคดีแดงที่ 541/2491 ครั้งที่2 จำคุก 6 เดือนฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน พ้นโทษไปเมื่อ พ.ศ.2495 มากระทำผิดในคดีนี้ภายใน 3 ปี ไม่เข็ดหลาบขอให้เพิ่มโทษตาม กฎหมายอาญา มาตรา 73 ด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องตลอดจนข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ ดังนี้โทษเก่าครั้งหลังเพียง 6 เดือนย่อมเพิ่มโทษตามมาตรา 73 ไม่ได้ และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยพ้นโทษครั้งแรกเมื่อใดโจทก์กล่าวเพียงว่าจำเลยต้องโทษตามคดีแดงที่ 541/2491 จึงพอหมายความได้เพียงว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี จริง แต่ทราบไม่ได้ว่าพ้นโทษครั้งแรกเมื่อใด ข้อเท็จจริงที่ปรากฏยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยพ้นโทษครั้งแรกเมื่อใดแน่ จำเลยอาจพ้นโทษครั้งแรกเกิน 3 ปี ก็เป็นได้ ฉะนั้นจะเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 73 ไม่ได้
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องตลอดจนข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ ดังนี้โทษเก่าครั้งหลังเพียง 6 เดือนย่อมเพิ่มโทษตามมาตรา 73 ไม่ได้ และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยพ้นโทษครั้งแรกเมื่อใดโจทก์กล่าวเพียงว่าจำเลยต้องโทษตามคดีแดงที่ 541/2491 จึงพอหมายความได้เพียงว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี จริง แต่ทราบไม่ได้ว่าพ้นโทษครั้งแรกเมื่อใด ข้อเท็จจริงที่ปรากฏยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยพ้นโทษครั้งแรกเมื่อใดแน่ จำเลยอาจพ้นโทษครั้งแรกเกิน 3 ปี ก็เป็นได้ ฉะนั้นจะเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 73 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 73 และการหักกลบลบโทษ รวมถึงขอบเขตการสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต้องโทษมาแล้วหลายครั้ง ๆ สุดท้ายจำเลยได้หลบหนี้ไปในระหว่างต้องโทษ แล้วกลับมากระทำผิดในคดีนี้ภายหลังที่พ้นโทษครั้งที่ 4 ไปยังไม่เกิน 3 ปี ก็เพิ่มโทษตามมาตรา 73 ได้
เมื่อคดีต้องเพิ่มโทษตามมาตรา 73 กึ่งหนึ่ง และลดฐานปราณีตามมาตรา 59 ลงกึ่งหนึ่ง โทษเพิ่มและลดมีกำหนดเสมอกัน ต้องหักกลบลบกันไปตามมาตรา 39
จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้รับของโจรตามฟ้องไว้จริง แต่ไม่ได้ลักทรัพย์ตามโจทก์ฟ้อง การพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จึงเกินคำรับของจำเลย
เมื่อคดีต้องเพิ่มโทษตามมาตรา 73 กึ่งหนึ่ง และลดฐานปราณีตามมาตรา 59 ลงกึ่งหนึ่ง โทษเพิ่มและลดมีกำหนดเสมอกัน ต้องหักกลบลบกันไปตามมาตรา 39
จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้รับของโจรตามฟ้องไว้จริง แต่ไม่ได้ลักทรัพย์ตามโจทก์ฟ้อง การพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จึงเกินคำรับของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษอาญาซ้ำจากเคยหลบหนีระหว่างต้องโทษ และขอบเขตการบังคับใช้มาตรา 73, 59, 39
จำเลยต้องโทษมาแล้วหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายจำเลยได้หลบหนีไปในระหว่างต้องโทษ แล้วกลับมากระทำผิดในคดีนี้ภายหลังที่พ้นโทษครั้งที่ 4 ไปยังไม่เกิน 3 ปี ก็เพิ่มโทษตามมาตรา 73 ได้
เมื่อคดีต้องเพิ่มโทษตามมาตรา 73 กึ่งหนึ่ง และลดฐานปราณีตามมาตรา 59 ลงกึ่งหนึ่ง โทษเพิ่มและลดมีกำหนดเสมอกัน ต้องหักกลบลบกันไปตาม มาตรา 39
จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้รับของโจรตามฟ้องไว้จริง แต่ ไม่ได้ลักทรัพย์ตามโจทก์ฟ้อง การพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จึงเกินคำรับของจำเลย
เมื่อคดีต้องเพิ่มโทษตามมาตรา 73 กึ่งหนึ่ง และลดฐานปราณีตามมาตรา 59 ลงกึ่งหนึ่ง โทษเพิ่มและลดมีกำหนดเสมอกัน ต้องหักกลบลบกันไปตาม มาตรา 39
จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้รับของโจรตามฟ้องไว้จริง แต่ ไม่ได้ลักทรัพย์ตามโจทก์ฟ้อง การพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จึงเกินคำรับของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2484
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำคุกซ้ำความผิดเดิม: มาตรา 73 vs. มาตรา 72 และหลักการลดโทษ
จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาแล้วพ้นโทษครั้งสุดท้ายซึ่งกำหนดโทษเกิน 6 เดือนมากระทำผิดอีกภายใน 3 ปี การเพิ่มโทษต้องเพิ่มกึ่งหนึ่งตามมาตรา 73 ไม่ใช่เพิ่ม 1 ใน 3 ตามมาตรา 72