พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษเกินกว่าที่ฟ้อง และการพิจารณาความผิดหลายกรรมต่างกันในคดีทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดสองกรรมต่างกันคือ ฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตราย แก่กายกระทงหนึ่ง และฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาอีกกระทงหนึ่ง ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องสำหรับความผิดกระทงหลังฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ดังนั้น ความผิดกระทงหลังนี้จึงเป็นอันยุติไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลล่างทั้งสองนำเอาการตายของผู้ตายซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นผลอันเกิดจากการกระทำความผิดกระทงหลัง มารับฟังว่าเป็นผลจากการกระทำของจำเลยในความผิดกระทงแรกแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 290 นั้น เป็นการพิพากษาในข้อที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องสำหรับความผิดกระทงแรก เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
จำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามฟ้องกระทงแรก แม้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดกระทงแรกนี้ว่า จำเลยแต่ผู้เดียวทำร้ายร่างกายผู้ตายและตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ และแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 โดยมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 295 มาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสามและวรรคท้าย
จำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามฟ้องกระทงแรก แม้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดกระทงแรกนี้ว่า จำเลยแต่ผู้เดียวทำร้ายร่างกายผู้ตายและตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ และแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 โดยมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 295 มาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสามและวรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษจำเลยเกินกว่าที่ฟ้อง สิ้นสุดที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ประมาทโดยการขับรถยนต์ด้วยความเร็วไม่ชิดขอบทางด้านซ้ายของตน เป็นเหตุให้ชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับสวนทางมาด้วยความประมาทเช่นกัน แล้วจึงไปชนกับรถยนต์คันอื่นอีก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ขับรถไม่ชิดขอบทางด้านซ้ายมือของตนสภาพรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับถูกชนตรงกลางรถ มีลักษณะถูกรถยนต์ที่ ย. ขับชนมากกว่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ประมาทในส่วนนี้แต่ที่ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 2 ประมาท โดยหลังจากที่รถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับถูกรถยนต์ที่ ย. ขับชนเสียหลักตกลงไปไหล่ถนนทางด้านขวามือแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่หยุดรถกลับแล่นขึ้นมาบนถนนทางด้านขวามือ เพื่อจะข้ามไปยังช่องทางด้านซ้ายมือ โดยไม่ดูให้ดีก่อนว่าขณะนั้นมีรถยนต์ของบริษัทขนส่ง จำกัด แล่นสวนทางมาในระยะกระชั้นชิด ซึ่งไม่สามารถหยุดหรือหลบได้ทันจึงเกิดชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับ เป็นความประมาทของจำเลยที่ 2 และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 2 ขับรถขึ้นมาบนถนนทางด้านขวามือเป็นการขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร และเป็นการขับรถในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดาซึ่งอาจไม่เห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลังได้พอแก่ความปลอดภัยโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นจนเกิดชนกับรถยนต์ของบริษัทขนส่ง จำกัด ซึ่งแล่นสวนทางมา ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยไม่ใช้ความระมัดระวัง จึงเป็นการขับรถโดยประมาท พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นนั้นเป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในข้อที่โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ซึ่งปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยเกินกว่าที่โจทก์ฟ้อง: ศาลฎีกายกฟ้องข้อหาเดิม หากศาลล่างลงโทษเกินกว่าที่ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายโดยทุจริต มิได้ฟ้องว่าจำเลยไม่คืนไม้ที่จับไว้จากผู้เสียหายศาลไม่ฟังว่าจำเลยเรียกเงิน จึงลงโทษจำเลยเพราะไม่คืนไม้เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องคดีอาญา - การลงโทษเกินฟ้อง และการป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยทำร้ายร่างกายเขามีบาดเจ็บ ถึงสาหัสแล้ว เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหว ได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้นเอง ไม่มีข้อความว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเขาแม้ท้ายฟ้องจะระบุ กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ก็ถือไม่ได้ว่า เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาคงถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 251 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2489 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยเกินฟ้อง: ศาลต้องลงโทษตามจำนวนครั้งที่ระบุในฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงฟังได้เกินกว่านั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแทงเขา 1 ที แม้ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยแทงเขา 3 ที ศาลก็ฟังลงโทษจำเลยเกินฟ้องไม่ได้ ต้องลงโทษจำเลยฐานแทงเขาแผลเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2489
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการลงโทษตามฟ้อง: การลงโทษเกินจำนวนครั้งที่ถูกแทงในคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแทงเขา 1 ที แม้ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยแทงเขา 3 ที ศาลก็ฟังลงโทษจำเลยเกินฟ้องไม่ได้ ต้องลงโทษจำเลยฐานแทงเขาแผลเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11198/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดร่วมกัน การรับผิดชอบในความผิดฐานพยายามฆ่าที่เกินเจตนา และการลงโทษเกินกว่าฟ้อง
แม้จำเลยทั้งสองจะมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย แต่ไม่ได้ความว่าจำเลยทั้งสองรู้เห็นหรือคบคิดกับพวกของจำเลยทั้งสองที่เป็นผู้มีและพาอาวุธปืนมายิงผู้เสียหาย การที่พวกของจำเลยทั้งสองใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำของพวกจำเลยทั้งสองโดยลำพังในขณะนั้นเอง ไม่อาจอนุมานได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมมีและพาอาวุธปืน และฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานร่วมมีและพาอาวุธปืนและไม่มีเจตนาร่วมในความผิดฐานพยายามฆ่า ดังนั้น แม้พวกจำเลยที่ 1 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าอันถือได้ว่ามีการทำร้ายร่างกายรวมอยู่ในการกระทำของพวกจำเลยที่ 1 ด้วยก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องร่วมรับผิดในผลของการกระทำของพวกจำเลยที่ 1 ที่เป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายดังกล่าว เพราะเป็นการกระทำคนละเจตนาและเกินขอบเขตเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่มีร่วมกันมาตั้งแต่ต้น จำเลยที่ 1 ยังคงต้องรับผิดในการกระทำของจำเลยที่ 1 เท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายมาในคำฟ้องว่า มีการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและผู้เสียหายได้รับอันตรายจากการทำร้ายร่างกายหรือไม่อย่างไร คงบรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง กระสุนปืนถูกผู้เสียหาย ทำให้ได้รับอันตรายสาหัส ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกใช้ขวดขว้างผู้เสียหายก็ตาม ศาลก็ไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาลงโทษจำเลยที่ 1ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวไว้ในฟ้อง ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่ แม้ปัญหาข้อนี้ จำเลยที่ 1 จะไม่ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ปัญหาข้อนี้เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ให้ได้รับผลดุจจำเลยที่ 1 ผู้ฎีกาได้ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225