โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินต้นที่กู้ไป ๗,๐๐๐ บาท รวมทั้งดอกเบี้ยเป็น ๑๐,๔๑๒.๕๐ บาท ฯลฯ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง
จำเลยฎีกาว่า รอยแก้ไขจำนวนเงินกู้ไม่ได้ลงชื่อกำกับ คดีได้ความว่า ชั้นแรกจำเลยขอกกู้เงิน ๔,๐๐๐ บาท กับที่กู้เดิม ๒,๐๐๐ บาท เป็น ๖,๐๐๐ บาท เมื่อนางประจวบผู้เขียนสัญญาเขียนเลขจำนวน ๖,๐๐๐ บาทไปแล้ว จำเลยขอเพิ่มอีก ๑,๐๐๐ บาท รวมเป็น ๗,๐๐๐ บาท นางประจวบจึงแก้ตัวเลข ๖ เป็นเลข ๗ และแก้ตัวอักษรด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าการแก้ตัวเลขและตัวอักษรดังกล่าวนี้เป็นการแก้ให้ตรงตามความประสงค์ของจำเลย ก่อนที่จำเลยจะพิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญากู้ เห็นได้ว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะให้เอกสารฉบับนี้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ตามจำนวนที่แก้ไขแล้วคือ ๗,๐๐๐ บาท หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์นำมาแก้ไขเองในภายหลังโดยจำเลยไม่รู้เห็นยินยอมไม่ ฉะนั้น แม้ตัวเลขและตัวอักษรที่แก้ไขจะไม่ได้ลงชื่อกำกับ หนังสือสัญญาฉบับนี้ก็เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมโดยสมบูรณ์
จำเลยฎีกาว่า เด็กหญิงสุนีย์ อายุ ๑๔ ปี จะรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยไม่ได้นั้น เห็นว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า ผู้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙ จะต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ เมื่อโจทก์มีพยานรับรองลงลายมือชื่อครบถ้วนตามกฎหมายแล้วก็เป็นอันใช้ได้
จำเลยฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า จำเลยไม่ต้องใช้ค่าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์หาพยานหลักฐานของโจทก์เอง จำเลยไม่ได้ตกลงจะเป็นผู้รับผิด เห็นว่า แม้โจทก์จะเป็นฝ่ายขอให้ส่งเอกสารสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือเพื่อประโยชน์แก่คดีของโจทก์ แต่ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์นี้ก็เป็นค่าฤชาธรรมเนียม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๕๒ ซึ่งตามธรรมดาความรับผิดย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายแพ้คดี เว้นแต่ศาลจะพิพากษาเป็นอย่างอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ เฉพาะคดีนี้จำเลยปฏิเสธว่าลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้ไม่ใช่ของจำเลย แต่เมื่อผลของการพิสูจน์ปรากฏว่าเป็นของจำเลย จำเลยจึงตกเป็นผู้แพ้ และไม่มีเหตุพิเศษอย่างอื่นที่จะไม่ให้จำเลยต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนนี้
พิพากษายืน