กรณีที่บริษัทธนาคารกรุงเทพฯ ผู้ร้องฎีกาขึ้นมานี้ ได้ความว่าธนาคารผู้ฎีกาเป็นเจ้าหนี้จำเลยผู้ล้มละลายตามคำพิพากษา เป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ต่อมาห้างหุ้นส่วนสามัญเบอรี่ยุดเกอร์ ได้ฟ้องและยึดไม้จำเลยไว้ก่อนคำพิพากษา ธนาคารร้องคัดค้านว่ามีบุริมสิทธิในฐานะผู้รับจำนำ ในระหว่างนั้นจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเข้าเป็นคู่ความร่วมในการพิพาทระหว่างธนาคารกับบริษัทเบอรี่ยุคเกอร ศาลฎีกาได้พิพากษาว่าธนาคารไม่มีบุริมสิทธิ ธนาคารจึงยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีความเห็นว่าธนาคารยื่นคำขอรับชำระหนี้พ้นกำหนดเวลา ๒ เดือน จึงขาดอายุความ ควรยกคำขอรับชำระหนี้ ศาลแพ่งคงมีคำสั่งดังความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่า โดยปกติบรรดาเจ้าหนี้ของผู้ล้มละลายจะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายใน ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์เด็ดขาดดังที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ล้มละลายมาตรา ๙๑ แต่มีข้อยกเว้นตามมาตรา ๙๓ ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาว่าคดีค้างพิจารณาอยู่แทนลูกหนี้ และแพ้คดีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๗๑ นับแต่วันคดีถึงที่สุด
ในคดีที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เป็นการพิพาทกันในประเด็นที่ว่า ธนาคารจกะมีบุริมสิทธิในไม้สักที่อยู่ในความล้มละลายหรือไม่ ส่วนหนี้ซึ่งธนาคารเป็นเจ้าหนี้ผู้ล้มละลายนั้นเป็นอันรับรองว่าได้มีอยู่จริง ฉะนั้นแม้ธนาคารควรจะแพ้คดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าว ก็แพ้เฉพาะในข้อที่ว่า ธนาคารไม่มีบุริมสิทธิ ส่วนหนี้ตามคำพิพากษาจะว่าธนาคารแพ้มิได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คงถือได้ว่า ธนาคารคงเป็นเจ้าหนี้ธรรมดาผู้ล้มละลายอยู่ตามคำพิพากษา ฉะนั้นคดีจึงพอจัดเข้าอยู่ในพระราชบัญญัติมาตรานี้ ว่าธนาคารมีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้ เพราะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ภายใน ๒ เดือนนับแต่วันคดีถึงที่สุด
จึงพิพากษากลับว่า คำขอรับชำระหนี้ของธนาคารกรุงเทพฯ ไม่ขาดอายุความ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับวินิจฉัยต่อไปฯลฯ