พบผลลัพธ์ทั้งหมด 545 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวในภาวะฉุกเฉิน: การกระทำเกินสมควรหรือไม่
การที่ผู้ตายขึ้นเรือนจำเลยในกลางคืนยามวิกาล ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากว่าเป็นการขึ้นมาในลักษณะอาการของคนร้าย จำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการป้องกันภยันตรายได้ ตามพฤติการณ์ที่จำเลยต้องประสบภัยขณะนั้น ฉะนั้นแม้จำเลยจะฟันผู้ตายหลายที จำเลยย่อมไม่มีโอกาสจะยับยั้งชั่งใจกระทำน้อยกว่าที่ได้กระทำไปแล้ว จึงจะถือเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่าที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทุจริตเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้: คนนอกคดีต้องมีการบังคับคดีก่อนจึงจะมีความผิด
ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าคนภายนอกคดีจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ได้ จะต้องมีการบังคับคดีเสียก่อน ถ้าคนภายนอกร่วมกระทำกับลูกหนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 350 ก็เป็นตัวการมีความผิดตามมาตรานี้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไป และข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติ เมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มารตรา 219 โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไป และข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติ เมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มารตรา 219 โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คนนอกคดีไม่มีความผิดตามมาตรา 350 จนกว่าจะมีการบังคับคดี ยึดทรัพย์ลูกหนี้ก่อน
ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าคนภายนอกคดีจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ได้ จะต้องมีการบังคับคดีเสียก่อนถ้าคนภายนอกร่วมกระทำกับลูกหนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 350 ก็เป็นตัวการมีความผิดตามมาตรานี้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไปและข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติเมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไปและข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติเมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำทุจริตเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้และการมีส่วนร่วมของบุคคลภายนอกคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าคนภายนอกคดีจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ได้. จะต้องมีการบังคับคดีเสียก่อน. ถ้าคนภายนอกร่วมกระทำกับลูกหนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 350 ก็เป็นตัวการมีความผิดตามมาตรานี้ได้.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย. แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริง.ที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไป. และข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติ. เมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219. โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย. แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริง.ที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไป. และข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติ. เมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219. โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งการครอบครองที่ดินต้องฟ้องภายใน 1 ปี หากเกินกำหนดจะเสียสิทธิ
ที่ดินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 พิพาทกันเมื่อปี 2504 มีเนื้อที่เพียง 2 ไร่ มิได้พิพาทกันรวมทั้งแปลงตามเนื้อที่พิพาทกันในคดีนี้ เฉพาะที่ดิน 2 ไร่ โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อเกินเวลา 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยที่ 1 แย่งการครอบครอง ไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จึงย่อมเสียสิทธิที่จะเอาที่ 2 ไร่นั้นคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งการครอบครองที่ดินต้องภายในอายุความ 1 ปี หากเกินกำหนดสิทธิเรียกร้องจะสิ้นสุดลง
ที่ดินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 พิพาทกันเมื่อปี 2504มีเนื้อที่เพียง 2 ไร่. มิได้พิพาทกันรวมทั้งแปลงตามเนื้อที่พิพาทกันในคดีนี้. เฉพาะที่ดิน 2 ไร่ โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อเกินเวลา 1 ปีนับแต่เวลาที่โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยที่ 1 แย่งการครอบครอง. ไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว. จึงย่อมเสียสิทธิที่จะเอาที่ 2 ไร่นั้นคืน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งการครอบครองที่ดินเกิน 1 ปี ทำให้สิ้นสิทธิเรียกร้องคืน
ที่ดินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 พิพาทกันเมื่อปี 2504 มีเนื้อที่เพียง 2 ไร่มิได้พิพาทกันรวมทั้งแปลงตามเนื้อที่พิพาทกันในคดีนี้เฉพาะที่ดิน 2 ไร่ โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อเกินเวลา 1 ปีนับแต่เวลาที่โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยที่ 1 แย่งการครอบครอง ไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จึงย่อมเสียสิทธิที่จะเอาที่ 2 ไร่นั้นคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์: อุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษหนักขึ้นได้ แม้ข้อเท็จจริงเดิมไม่มีเจตนาฆ่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยในชั้นอุทธรณ์ แม้โจทก์ขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แต่ศาลเห็นว่าไม่มีเจตนา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส. แต่ไม่มีเจตนาฆ่า. โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา. ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว. ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้.ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการแก้ไขโทษในชั้นอุทธรณ์: การเพิ่มเติมโทษให้หนักขึ้นได้เมื่ออุทธรณ์ฐานความผิดที่หนักกว่าเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212