พบผลลัพธ์ทั้งหมด 126 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำหน่ายแสตมป์ปลอมโดยเจตนา ความผิดตามมาตรา 216 ผู้มีหน้าที่จำหน่ายต้องทราบความแตกต่าง
จำหน่ายแสตมป์ยาสูบปลอมมีความผิดฐานใช้แสตมป์ปลอมตามมาตรา216
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างของข้อเท็จจริงในฟ้องกับข้อเท็จจริงตามการพิจารณาในคดีทำร้ายร่างกาย
คดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายบาดเจ็บฝ่ายเดียว แม้ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยทำร้ายบาดเจ็บเนื่องจากวิวาทกัน ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับที่กล่าวในฟ้อง ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย ตาม ม.254 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1555/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: ความแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริงที่ฟ้องกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ในชั้นพิจารณา
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักกระบือ 3 ตัวของ ซ.หรือรับกระบือนั้นไว้ โดยรู้ว่าเป็นของร้าย แต่ทางพิจารณาได้ความว่า กระบือที่ถูกคนร้ายลักไปเป็นกระบือของ ซ. 1 ตัว อีก 2 ตัวเป็นของผู้อื่นฝาก ซ.เลี้ยงไว้และกระบือ 2 ตัวที่จับได้จากจำเลยเป็นกระบือของผู้อื่นที่ฝากซ.ไว้ ดังนี้จะว่าทางพิจารณาต่างกับฟ้องหาได้ไม่
(อ้างฎีกาที่ 62/2486)
(อ้างฎีกาที่ 62/2486)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการขอจ่ายสินบนนำจับในคดีป้องกันการค้ากำไรเกินควร: ความแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ. 2489 และ พ.ร.บ. 2490
พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 มาตรา 30 ได้บัญญัติถึงการบังคับให้ใช้สินบนนำจับไว้เป็นพิเศษแตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489
คำขอให้จ่ายค่าสินบนนำจับตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 พนักงานอัยการไม่มีอำนาจจะขอแทนได้ เพราะ พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 ไม่ได้ระบุอำนาจไว้
คำขอให้จ่ายค่าสินบนนำจับตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 พนักงานอัยการไม่มีอำนาจจะขอแทนได้ เพราะ พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 ไม่ได้ระบุอำนาจไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 875/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อแตกต่างข้อเท็จจริงในคำฟ้องกับทางพิจารณาต้องเป็นสาระสำคัญจึงจะยกฟ้องได้
การต่างกันในข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณากับที่ปรากฏในฟ้อง ซึ่งเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง นั้น จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญในคำฟ้อง
ในคดีลักทรัพย์ การแตกต่างเพียงคำนำหน้าชื่อเจ้าทรัพย์ว่า"นาย" หรือ "นาง" นั้นเป็นข้อปลีกย่อย หาทำให้จำเลยหลงผิดในการต่อสู้คดีอย่างใดไม่
ในคดีลักทรัพย์ การแตกต่างเพียงคำนำหน้าชื่อเจ้าทรัพย์ว่า"นาย" หรือ "นาง" นั้นเป็นข้อปลีกย่อย หาทำให้จำเลยหลงผิดในการต่อสู้คดีอย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 597/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างของวันเกิดเหตุในฟ้องและคำเบิกความของพยาน ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2490 พะยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยลักทรัพย์เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2490 ต้องถือว่า จำเลยไม่ได้ทำความผิดดังที่กล่าวในฟ้อง ต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างระหว่างเจ้าของเคหะสถานกับผู้ครอบครองและการฟ้องคดีอาญา
โจทก์ฟ้องบรรยายว่า จำเลยบุกรุกเคหะสถานของผู้เสียหายแล้วทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและกระทำอนาจารแก่หญิงที่เคหะสถานนั้น
พิจารณาได้ความว่า จำเลยได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและกระทำอนาจารแก่หญิงที่เคหะสถานนั้นจริง ปรากฏว่าเคหะสถานนั้นเป็นของมารดาผู้เสียหาย และมารดาผู้เสียหายไม่ได้ไปร้องทุกข์ในข้อหาฐานบุกรุกดังนี้ แม้ศาลจะยกฟ้องในข้อหาฐานบุกรุกโดยเหตุที่เจ้าของเคหะสถานไม่ได้ร้องทุกข์ก็ดี ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายและทำอนาจารได้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความต่างกับฟ้อง
พิจารณาได้ความว่า จำเลยได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและกระทำอนาจารแก่หญิงที่เคหะสถานนั้นจริง ปรากฏว่าเคหะสถานนั้นเป็นของมารดาผู้เสียหาย และมารดาผู้เสียหายไม่ได้ไปร้องทุกข์ในข้อหาฐานบุกรุกดังนี้ แม้ศาลจะยกฟ้องในข้อหาฐานบุกรุกโดยเหตุที่เจ้าของเคหะสถานไม่ได้ร้องทุกข์ก็ดี ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายและทำอนาจารได้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความต่างกับฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างของสถานที่เกิดเหตุในฟ้องกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ ไม่กระทบต่อการลงโทษในความผิดอื่น
โจทก์ฟ้องบรรยายว่าจำเลยบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายแล้วทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและกระทำอนาจารแก่หญิงที่เคหสถานนั้นทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและกระทำอนาจารแก่หญิงที่เคหสถานนั้นจริง แต่ปรากฏว่าเคหสถานนั้นเป็นของมารดาผู้เสียหาย และมารดาผู้เสียหายไม่ได้ไปร้องทุกข์ในข้อหาฐานบุกรุกดังนี้ แม้ศาลจะยกฟ้องในข้อหาฐานบุกรุกโดยเหตุที่เจ้าของเคหสถานไม่ได้ร้องทุกข์ก็ดี ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายและทำอนาจารได้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความต่างกับฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพนันล้อหมุนกับการพนันยิงเป้า: ความแตกต่างและข้อสงสัยทางกฎหมาย
ลักษณะอย่างไรเป็นการพนันล้อหมุนหรือการพนันยิงเป้าตามพระราชบัญญัติการพนัน กฎหมายมิได้บัญญัติบทวิเคราะห์ศัพท์ไว้โดยให้ถือตามความเข้าใจธรรมดา เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าการพนันยิงเป้าจะใช้เป้านิ่งเป้าเคลื่อนที่เป้าหมุนก็ได้เป้าหมุนก็มิได้กำหนดว่าต้องมีลักษณะอย่างไรไม่จำกัดว่าต้องเป็นล้อเป็นเป้าตั้งหรือนอนอย่างไร วิธีการยิงเป้าปาโยนไปที่เป้าหรือล้อก็ทำได้เท่าๆ กัน ไม่ได้ความชัดว่า การเล่นการพนันประเภทล้อหมุนแตกต่างกับการพนันยิงเป้าตรงข้อใด เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกันให้มีการเล่นการพนันและเข้าเล่นการพนันล้อหมุนไม่ใช่ยิงเป้าตามที่จำเลยได้รับอนุญาต คดียังเป็นที่สงสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสุจจริตในคดีอาญาและคดีแพ่ง: ผลกระทบต่อการโอนทรัพย์สิน
ในคดีอาญาศาลพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่พอฟังว่า จำเลยได้รู้เห็นสมคบในการรับโอนที่ดินโดยทุจจริต และจำเลยก็นำสืบได้สมว่า ซื้อไว้โดยสุจจริตใจ แล้วชี้ขาดว่าหลักฐานไม่พอฟังว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับการทุจจริตนั้น ย่อมหมายความแต่เพียงว่า จำเลยมิได้มีเจตนาทุจจริตอันเป็นผิดในคดีอาญาเท่านั้นจะฟังว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินนั้นโดยสุจจริตตามประมวลแพ่งฯ ไม่ได้
คำว่าสุจจริตตามกฎหมายอาญาต่างกับคำว่าสุจจริตตามกฎหมายแพ่ง เช่นในเรื่องได้ทรัพย์มา สำหรับตามกฎหมายอาญาหมายความเพียงว่า ไม่รู้สึกตนว่าทำการติดต่อกับผู้ร้ายส่วนตามกฎหมายแพ่งหมายความว่าไม่รู้หรือไม่ควรจะรู้ถึงความบกพร่องแห่งกรรมสิทธิ์ที่มีมาในอดีต
การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเพียงไร
คำว่าสุจจริตตามกฎหมายอาญาต่างกับคำว่าสุจจริตตามกฎหมายแพ่ง เช่นในเรื่องได้ทรัพย์มา สำหรับตามกฎหมายอาญาหมายความเพียงว่า ไม่รู้สึกตนว่าทำการติดต่อกับผู้ร้ายส่วนตามกฎหมายแพ่งหมายความว่าไม่รู้หรือไม่ควรจะรู้ถึงความบกพร่องแห่งกรรมสิทธิ์ที่มีมาในอดีต
การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเพียงไร