พบผลลัพธ์ทั้งหมด 470 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนชำระหนี้รายเดือนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การชำระไม่ตรงตามกำหนดถือเป็นผิดนัด
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นรายเดือน ๆ ละ 1,200 บาท เริ่มแต่วันที่ 5 มิถุนายนและต่อไปภายใน วันที่ 5 ของเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จ ผิดนัด 2 งวดติดกันยอมให้บังคับคดี ปรากฏว่าในวันที่ 5 มิถุนายน จำเลยนำเงินมาผ่อนชำระตามสัญญา ครั้นถึงวันที่ 5 กรกฎาคม ครบกำหนด จำเลยไม่นำเงินมาชำระแต่พอถึงวันที่ 5 สิงหาคม จำเลยนำมาชำระและถึงวันที่ 5 กันยายน จำเลยไม่นำมาชำระอีก ดังนี้ เมื่อข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความมีปรากฏว่า จำเลยจะผ่อนชำระเป็นรายเดือนเริ่มต้นแต่วันที่ 5 มิถุนายน และเดือนต่อ ๆ ไปภายในวันที่ 5 ของเดือน การที่จำเลยไม่ชำระเงินภายในวันที่ 5 กรกฎาคมแต่มาชำระเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมเป็นเงินที่จำเลยชำระประจำเดือนกรกฎาคมและเงินที่จำเลยจะต้องชำระประจำเดือนสิงหาคม จึงยังคงค้างชำระอยู่เมื่อจำเลยค้างชำระเงินประจำเดือนสิงหาคมอยู่หนึ่งเดือนแล้ว ต่อมาเมื่อภายในวันที่ 5 กันยายน จำเลยไม่ชำระอีกเช่นนี้ก็ต้องถือว่าจำเลยได้ค้างชำระในงวดประจำเดือนกันยายนด้วย จึงเป็นการผิดนัดสองงวดติดกันแล้ว ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างตามคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อเสรีภาพจากการข่มขู่ด้วยอาวุธ แม้ไม่มีผลประโยชน์ในทรัพย์สิน ก็เป็นความผิดได้
จำเลยกับโจทก์ร่วมเข้าหุ้นทำการก่อสร้างโรงเรียนร่วมกัน จำเลยพาพวกซึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปขู่เข็ญให้โจทก์ร่วมคิดบัญชีการเงินเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงเรียน โจทก์ร่วมไม่ยอมคิดบัญชีประกอบกับขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา จำเลยกับพวกจึงบังคับให้โจทก์ร่วมคิดบัญชีไม่สำเร็จ เช่นนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพยายามกรรโชก เพราะจำเลยไม่มีทางได้ประโยชน์ในทางทรัพย์โดยมิชอบแต่อย่างใด แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามกระทำผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรค 2 ประกอบมาตรา 80, 83 เพราะจำเลยมีเจตนาที่จะทำให้โจทก์ร่วมกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตจนยอมคิดบัญชีให้ และจำเลยได้กระทำไปโดยตลอดแล้วเพื่อให้โจทก์ร่วมกลัวและปฏิบัติตามความประสงค์ของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขู่ให้คิดบัญชีหุ้นส่วน ไม่เป็นกรรโชก แต่เป็นการกระทำผิดต่อเสรีภาพ
จำเลยกับโจทก์ร่วมเข้าหุ้นทำการก่อสร้างโรงเรียนร่วมกัน จำเลยพาพวกซึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปขู่เข็ญให้โจทก์ร่วมคิดบัญชีการเงินเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงเรียน โจทก์ร่วมไม่ยอมคิดบัญชีประกอบกับขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา จำเลยกับพวกจึงบังคับให้โจทก์ร่วมคิดบัญชีไม่สำเร็จ เช่นนี้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพยายามกรรโชก เพราะจำเลยไม่มีทางได้ประโยชน์ในทางทรัพย์สินโดยมิชอบแต่อย่างใด แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามกระทำผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 83เพราะจำเลยมีเจตนาที่จะทำให้โจทก์ร่วมกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตจนยอมคิดบัญชีให้ และจำเลยได้กระทำไปโดยตลอดแล้วเพื่อให้โจทก์ร่วมกลัวและปฏิบัติตามความประสงค์ของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1410/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีละเมิดจากการไม่บำรุงทางน้ำสาธารณะ ต้องพิสูจน์ความเสียหายเฉพาะตัวของผู้ฟ้อง
โจทก์ฟ้องเทศบาลเป็นจำเลยว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่จะต้องจัดให้มีและบำรุงทางน้ำ ทางบก และทางระบายน้ำ ตลอดจนการรักษาความสะอาด ทำให้โจทก์และประชาชนทั่วไปไม่อาจใช้ทางน้ำสาธารณะเป็นทางสัญจรได้เหมือนแต่ก่อน ดังนี้ ย่อมหมายความว่า พลเมืองที่ใช้ทางน้ำสาธารณะนั้น ๆ ร่วมกันเป็นผู้ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป ไม่พอให้ถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลย อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1410/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีละเมิดจากการไม่บำรุงทางน้ำสาธารณะ ต้องพิเคราะห์ความเสียหายเฉพาะตัวของผู้ฟ้อง
โจทก์ฟ้องเทศบาลเป็นจำเลยว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่จะต้องจัดให้มีและบำรุงทางน้ำ ทางบก และทางระบายน้ำ ตลอดจนการรักษาความสะอาดทำให้โจทก์และประชาชนทั่วไปไม่อาจใช้ทางน้ำสาธารณะเป็นทางสัญจรได้เหมือนแต่ก่อน ดังนี้ ย่อมหมายความว่าพลเมืองที่ใช้ทางน้ำสาธารณะนั้น ๆร่วมกันเป็นผู้ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป ไม่พอให้ถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลย อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรื้อรั้วเมื่อจำเลยไม่ได้รุกล้ำทางสาธารณะ สิทธิเรียกร้องไม่มีผลบังคับ
คำฟ้องของโจทก์โจทก์อ้างว่าเพียงแต่ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยทั้งสามรุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณะ เป็นเหตุให้โจทก์ใช้ทางเข้าออกไม่ได้ โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้จำเลยทั้งสามเปิดทางสาธารณะ คำฟ้องเช่นนี้เป็นการฟ้องขอให้เปิดทางสาธารณะที่โจทก์ถือว่าจำเลยรุกล้ำ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยหาได้รุกล้ำทางสาธารณะไม่ ที่ดินที่โจทก์ว่าจำเลยรุกล้ำนั้น ความจริงก็เป็นที่ดินของจำเลยเอง ไม่ใช่ทางสาธารณะ ดังนี้แล้วโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางขยายรั้วหรือรื้อรั้วที่จำเลยสร้างขึ้นใหม่นั้นได้ การที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าได้ใช้ทางเดินนี้มาเกิน 10 ปีแล้ว ก็เป็นแต่เพียงแสดงข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ใช้ทางนี้มานาน แต่มิได้หมายความว่าโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางในฐานะเป็นทางภารจำยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรื้อรั้วบุกรุกทางสาธารณะ: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะจริง และจำเลยบุกรุก
คำฟ้องของโจทก์.โจทก์อ้างแต่เพียงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะจำเลยทั้งสามรุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ใช้ทางเข้าออกไม่ได้ โจทก์ได้รับความเสียหายจึงขอให้จำเลยทั้งสามเปิดทางสาธารณะ คำฟ้องเช่นนี้เป็นการฟ้องขอให้เปิดทางสาธารณะที่โจทก์ถือว่าจำเลยรุกล้ำ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยหาได้รุกล้ำทางสาธารณะไม่ ที่ดินที่โจทก์ว่าจำเลยรุกล้ำนั้นความจริงก็เป็นที่ของจำเลยเอง ไม่ใช่ทางสาธารณะ ดังนี้แล้วโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางขยายรั้วหรือรื้อรั้วที่จำเลยสร้างขึ้นใหม่นั้นได้การที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าได้ใช้ทางเดินนี้มาเกิน 10 ปีแล้วก็เป็นแต่เพียงแสดงข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ใช้ทางนี้มานาน แต่มิได้หมายความว่าโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางในฐานะเป็นทางภารจำยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดในละเมิดของลูกจ้างเมื่อขับรถตามหน้าที่ แม้จะนอกเส้นทางตามคำสั่ง
ลูกจ้างขับรถประจำทางจากอู่เพื่อไปยังจุดต้นทางโดยเส้นทางที่ผิดไปจากเส้นทางที่นายจ้างมีคำสั่งไว้ให้ปฏิบัติ เมื่อขับด้วยความประมาทผู้อื่นบาดเจ็บ นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วย เพราะการที่ลูกจ้างขับรถเพื่อไปยังจุดต้นทางตามหน้าที่นั้น เป็นการที่กระทำไปในทางการที่จ้างแล้ว ส่วนคำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องภายในระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
โจทก์มีรายได้เดือนละ 600 บาท เมื่อถูกจำเลยกระทำละเมิดแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพได้เช่นปกติ ฟ้องเรียกค่าเสียหายในอนาคต 10 ปี เป็นเงิน 72,000 บาท เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวนหนึ่งเป็นจำนวนแน่นอนแล้ว ย่อมให้คิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
โจทก์มีรายได้เดือนละ 600 บาท เมื่อถูกจำเลยกระทำละเมิดแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพได้เช่นปกติ ฟ้องเรียกค่าเสียหายในอนาคต 10 ปี เป็นเงิน 72,000 บาท เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวนหนึ่งเป็นจำนวนแน่นอนแล้ว ย่อมให้คิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างที่ขับรถประมาท แม้ลูกจ้างขับรถผิดเส้นทาง แต่ยังอยู่ในทางการที่จ้าง
ลูกจ้างขับรถประจำทางจากอู่เพื่อไปยังจุดต้นทางโดยเส้นทางที่ผิดไปจากเส้นทางที่นายจ้างมีคำสั่งไว้ให้ปฏิบัติ เมื่อขับด้วยความประมาทชนผู้อื่นบาดเจ็บ นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วย เพราะการที่ลูกจ้างขับรถเพื่อไปยังจุดต้นทางตามหน้าที่นั้นเป็นการที่กระทำไปในทางการที่จ้างแล้ว ส่วนคำสั่งดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องภายในระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
โจทก์มีรายได้เดือนละ 600 บาท เมื่อถูกจำเลยกระทำละเมิดแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพได้เช่นปกติ ฟ้องเรียกค่าเสียหายในอนาคต 10 ปีเป็นเงิน 72,000 บาท เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวนหนึ่งเป็นจำนวนแน่นอนแล้ว ย่อมให้คิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
โจทก์มีรายได้เดือนละ 600 บาท เมื่อถูกจำเลยกระทำละเมิดแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพได้เช่นปกติ ฟ้องเรียกค่าเสียหายในอนาคต 10 ปีเป็นเงิน 72,000 บาท เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวนหนึ่งเป็นจำนวนแน่นอนแล้ว ย่อมให้คิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนนี้นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายปอฟอกกับการแบ่งกำไร ไม่เป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วน หากผู้ขายไม่รับความเสี่ยงขาดทุน
เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.4 เป็นเรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายปอฟอกกัน แม้เอกสารหมาย จ.1 มีข้อความตอนหนึ่งว่า "ปอจำนวนนี้ ข้าฯ จะส่งมาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2509 เมื่อส่งครบจำนวนแล้ว คิดตามราคาท้องตลาดเสร็จแล้วหักทุนออก เหลือเท่าไรจึงแบ่งฝ่ายละครึ่งของผลกำไร" ก็ตาม ก็เป็นข้อตกลงอีกอันหนึ่งว่า ภายหลังที่ขายปอให้กันแล้ว โจทก์ (ผู้ซื้อ) จะต้องแบ่งกำไรให้จำเลย (ผู้ขาย) ด้วยเท่านั้น หาทำให้สัญญาซื้อขายกลายเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนไปไม่ เพราะจำเลยยอมรับแต่ผลกำไรฝ่ายเดียว เมื่อขาดทุนไม่ต้องออกด้วย